Thursday 29 May 2008

My Sister

เคยไหมครับเวลาที่เรานัดไปไหนต่อไหนกับเพื่อนแล้วเราอยากไปมากๆ แต่พอไปเจอเพื่อนกลับหอบเอาน้องเอย หลานเอยมาด้วย หมายคนคงจะหมดสนุกไปเพราะว่ามีคนอื่นเข้ามาแจมเรื่องราวต่างๆ ด้วย ผมก็เคยมีประสบการณ์นี้

วันนี้ผมคิดถึงความทรงจำในวัยเด็กอย่างหนึ่ง เลยอยากมาแชร์ให้ฟัง

ผมเป็นน้องชายคนเล็กมีพี่สาวหนึ่งคน พี่ชายหนึ่งคน ตลอดเวลาตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ กับพี่ๆ พี่ๆก็ทำหน้าที่แทนพ่อแม่ของผมเสมอๆ

ตอนเด็ก ที่ผมเข้ามาอยู่กรุงเทพใหม่ ผมไม่รู้จักถนนหนทาง ขึ้นรถเมล์ก็ไม่เป็น แถมยังเด็กเกินไปที่จะไปไหนต่อไหนเพียงลำพัง เพื่อนก็ยังไม่มี เหมือนบ้านนอกเข้ากรุงทีเดียว

การที่จะออกไปทำกิจกรรมภานนอกในวันหยุดก็คือ การออกไปข้างนอกกับพี่ๆ

แต่อย่างที่บอกเวลาที่เราจะไปไหนก็ต้องติดสอยห้อยตามพี่ไปเสมอๆ โดยเฉพาะพี่สาวผม ทุกครั้งที่เจ๊นุ้ยมีธุระ นัดกับเพื่อนๆ เจ้นุ๊ยมักจะหอบเอาผมไปด้วยเสมอๆ เพื่อให้น้องคนนี้ได้ออกไปพบปะผู้คนบ้าง จนผมแทบจะรู้จักเพื่อนๆ ของพี่สาวไปหมดแล้ว

ผมคิดว่าหลายคน หรือแม้กระทั่งพี่สาวผม เพื่อนพี่สาวผม คงคิดอยู่บ้างแหละว่าผมเป็นส่วนเกินหรือเปล่าเวลาที่เราอยู่กับเพื่อนๆ แต่พี่สาวผมยังคงพาผมไปโน่นนี่ด้วยตลอด แทนที่จะออกไปเพียงลำพังแล้วทิ้งให้ผมอยู่บ้านดูหนังไปคนเดียว กลับพาผมไปไปแนะนำสถานที่ใหม่ๆ คนใหม่ๆ ให้รู้จัก โดยไม่เคยแสดงให้เห็นเลยว่าผมเป็นภาระที่เขาต้องคอยดูแล

คิดถึงเรื่องนี้ทีไร ผมภูมิใจในตัวพี่สาวผมคนนี้ทุกที "รักเจ๊นุ้ยนะครับ"

Thursday 8 May 2008

Congratulations

"ยินดีด้วย" ถ้อยคำธรรมดาที่เราทั้งหลายอาจจะเคยพูดเวลาที่เราได้รับรู้เรื่องราวดีๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตใครคนใดคนหนึ่ง

การพูดแสดงความยินดีนั้น หลายครั้งที่เราอาจต้องแสดงออกตามมารยาทของผู้รับฟังที่ดี ซึ่งผมเคยทำบ่อยๆ และคาดว่าหลายคนก็เคยทำกันบ้างไม่มากก็น้อย

คนที่รับฟังคำแสดงความยินดี หรือคำชมต่างๆ อาจตามมา ถึงแม้รู้ว่าผู้พูด อาจพูดขึ้นมาตามมารยาทก็ตาม แต่ก็ยังอดยิ้มตามไม่ได้

ดังคำกล่าวว่า "การห้ามไม่ให้โกรธเมื่อมีคนว่า ยังง่ายกว่าการห้ามไม่ให้ยิ้มเมื่อมีคนชม"

แต่หากว่าการแสดงความยินดีนั้นแสดงออกมาจากผู้ที่เรารู้เสมอว่าพร้อมที่จะยินดีในความสำเร็จของเราตลอดเวลา เราคงไม่ต้องสงสัยในความหมายภายหลังถ้อยคำเหล่านั้นเลย

ผมเพิ่งทราบผลการคัดเลือกเข้าเรียนปริญญาโทที่ประเทศสวีเดนอย่างเป็นทางการเมื่อไม่เกิน 8 ชั่วโมงที่ผ่านมา ผมไม่รีรอที่จะแจ้งข่าวดีให้แม่ผมทราบเหมือนปกติที่ผมทำทุกครั้ง

ไม่เกินคาดเดาว่าแม่ผมดีใจเช่นกัน แค่คำพูดที่กล่าวเพียงว่า "ยินดีด้วยนะ" แค่เพียงคำเดียว

มันแทนถ้อยคำมากมายที่ยากจะพรรณนาถึงความปรารถนาดีที่แม่ให้.........แค่นี้เพียงพอแล้วครับ

รักอาม้าครับ รักอาปาด้วย

Wednesday 7 May 2008

Teacher

วันนี้โอกาสดี ได้กลับไปโรงเรียนเทพศิรินทร์อีกครั้ง

เหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นตลอด 6 ปีที่ผมอยู่ที่เทพศิรินทร์ บ้างน่าจดจำ บ้างน่าลืม แต่กลับไม่ลืม

แต่ที่ทำให้วันนี้ผมรู้สึกนึกถึงมากที่สุด คงเป็นครูประจำชั้นคนแรกของผม ชั้นม.1/8 "อาจารย์ภิรมย์ วงศ์เหลือง"

จากเด็กต่างจังหวัดที่ต้องการการเอาใจใส่อย่างมากในการปรับตัวเข้ากับคนอื่น

ในความทรงจำของผมอาจารย์ภิรมย์คอยให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดีแก่นักเรียนทุกคนซึ่งรวมถึงผมด้วย

แม้ว่าผมขึ้นมาอยู่ม.2, 3 หรือ ม,ปลายแล้วก็ตาม แต่ผมยังคงแวะเวียนไปพูดคุยกับอาจารย์ตลอดเท่าที่โอกาสอำนวย และให้อาจารย์คอยช่วยเหลือในบางโอกาส

คิดถึงอาจารย์มากนะครับ แม้ว่าวันนี้อาจารย์ไม่ได้อยู่เห็นว่าลูกศิษย์คนนี้ดำเนินชีวิตได้ดีเพียงใดก็ตาม แต่ผมมั่นใจว่าอาจารย์พร้อมที่จะยินดีในความสำเร็จของลูกศิษย์คนนี้เสมอ

1o ปีแล้วนะครับครู..........

หลับให้สบายนะครับ.......................คุณครูของผม

Elememts

"ชีวิตคนเราดำเนินไปตามเหตุปัจจัยหลายประการที่ประกอบเข้าด้วยกัน" ถ้าผมพูดแค่นี้ คาดว่ามีหลายคนที่เข้าใจ แต่ในทางกลับกันหลายคนก็อาจไม่เข้าใจว่าผมพูดอะไร????

ครั้งแรกที่ผมเริ่มคิดว่าหลักธรรมในพระพุทธศาสนา มีอะไรมากกว่าที่ผมรู้มาตั้งแต่เด็กว่าคือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับผมราวๆ เดือน เมษายนถึงพฤษภาคม 2546 ที่วัดญาณเวศกวัน วันนั้นผมมีปัญญาที่สุมอยู่ในใจค่อนข้างมาก เพื่อนผมชวนไปวัดญาณฯ ครั้งแรก วันนั้นที่วัดผมได้นั่งฟังธรรมะบรรยายเรื่อง ปฏิจจสมุปปบาท จากพระอาจารย์ครรชิต คุณวโร

ผมนั่งฟังวันนั้น ผมขอบอกว่าผมไม่รู้เรื่องเลยสักนิดเกี่ยวกับหลักธรรมที่ท่านบรรยาย แต่ผมกลับฉุกคิดจากตัวอย่างง่ายๆ เพียงตัวอย่างเดียว คือ

"ช่างไม้ได้ทำเก้าอี้ไม้ขึ้นมาตัวหนึ่ง คนพากันไปทดลองนั่งแล้วก็ชมช่างไม้ว่าทำเก้าอี้ได้ดี นั่งแล้วมั่นคงแข็งแรง ไม่โยกเยก ดังนี้ จริงๆ แล้วการที่เก้าอี้ตั้งอยู่ได้อย่างมั่นคงแข็งแรงนั้น หาใช่เป็นเพียงเพราะการที่ช่างไม้คำนวณอย่างแม่นยำ ประกอบอย่างถูกต้อง เท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยอื่นประกอบอีก เช่น แรงดึงดูดของโลกที่ดูดเก้าอี้ไว้กับพื้น ไม่ล่องลอยในอากาศ หรือน้ำหนักของคนที่นั่ง"

ใครจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม หลังจากผมฟังตัวอย่างแล้ว ผมจึงคิดได้ว่าปัญหาที่รุมเร้าผมในขณะส่วนใหญ่ไม่ได้ขึ้นกับตัวผม ผมจึงค่อยๆ ขบคิดและปล่อยวางลงไปที่ละน้อย จนกระทั่งปัญหาเหล่านั้นมากระทบจิตใจผมไม่ได้เลยในเวลาต่อมา อย่างที่เขาว่ากันว่า เวลาผงเข้าตาเขี่ยตาตัวเองอย่างไรผงก็ไม่ยอมออกซะที ต้องให้คนอื่นเขี่ยให้

จากเหตุการณ์นี้ผมได้คิดว่า ทุกเรื่องล้วนแต่มีเหตุปัจจัยที่ต่างกันหลายประการ ดังนั้นพึงควรทำเหตุปัจจัยให้ถึงพร้อม เพื่อความสำเร็จของการงานที่ทำ จะเป็นแนวทางที่ไม่ประมาท และทำให้งานนั้นประสบความสำเร็จ

จากวันนั้นทำให้ผมค่อยๆ ศึกษาธรรมะอย่างเข้าใจ มากกว่าท่องจำ กระทั่งได้เข้าบรรพชาที่วัดญาณฯ แห่งนั้นนั่นเอง

Monday 5 May 2008

Surname

ความทรงจำในเรื่องนามสกุลของผมนั้น ก็มีสิ่งที่น่าจดจำเช่นกัน

เดิมนั้นผมมีนามสกุลว่า "โอสถเจริญผล" เป็นนามสกุลที่ลุงตั้งขึ้น เพราะเดิมครอบครัวทางพ่อผมทำกิจการร้านขายยา ก็เลยใช้นามสกุลนี้มาเรื่อยๆ

ทำไมถึงอยากเปลี่ยนนามสกุล.... ครอบครัวเราห็นว่าพวกเราน่าจะตั้งนามสกุลใหม่เสียที ให้พ่อเป็นคนตั้งนามสกุลแล้วพวกเราก็เปลี่ยนไปใช้นามสกุลของพ่อ

เหตุที่เปลี่ยนนี้จึงไม่มีเหตุผลใดแอบแฝงหรอกเพียงแค่อยากให้เรามีสกุลของพวกเรากันนั่นเอง

นามสกุลใหม่ใช้เวลากว่าจะได้นานมาก เท่าที่จำได้น่าจะมากกว่า 3-4 ปี เพราะแม่ไม่อยากได้นาสกุลที่ยาวและเขียนยาก

จนกระทั่งพี่ชายผมบวชที่วัดญาณเวศกวัน ก็เลยได้ไอเดียให้พี่ขอนามสกุลใหม่จากท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) หรือพระธรรมปิฎกในขณะนั้น เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2547

ซึ่งท่านก็เมตตาตั้งนามสกุลใหม่ให้เรามากมายหลายนามสกุลทีเดียว เท่าที่อยากกล่าวในที่นี้เพื่อยืนยันถึงความเมตตาของท่าน นามสกุลที่ท่านตั้งให้
  1. หยั่งญาณทัศน์ (หยั่งรู้หยั่งเห็น ใช้ญาณทัศน์หยั่งดูให้รู้ความจริง)
  2. ยั่งยืนธรรมสถิต (ดำรงอยู่ในธรรมะอย่างยั่งยืน)
  3. ยั่งยืนธรรมโศภิต (งามด้วยธรรมอย่างยั่งยืน)
  4. ยั่งยืนญาณสถิต (ดำรงอยู่ในความรู้อย่างยั่งยืน)
  5. ชยางคกุล (ตระกูลที่มีคุณสมบัติแห่งชัยชนะ)
  6. ชยางควัฒน์ (เจริญด้วยคุณสมบัติแห่งชัยชนะ)
  7. ชยางค์พล (พลังที่มีคุณสมบัติแห่งชัยชนะ)
  8. ทยางค์พล (พลังที่มีคุณสมบัติแห่งความเมตตาการุณย์)
  9. ทยางคานนท์ (ยินดีในคุณสมบัติแห่งความเมตตาการุณย์)
  10. ทยางคสมิทธิ์ (ความสัมฤทธิ์ผลแห่งคุณสมบัติข้อเมตตาการุณย์)
  11. ปรียังกรณ์, ปริยังกร (ทำให้เป็นที่รัก, ทำให้ชื่นชมรักใคร่พอใจ)
  12. ปิยังกรภัทร์ (ทั้งน่าชื่นชมรักใคร่ และเจริญ มีโชค)
  13. สมิทธิวันต์ (มีความสำเร็จ)
  14. นาทวรินทร์ (มีเสียงบันลือ (อำนาจ) ที่เลิศประเสริฐเป็นใหญ่)
  15. วรินทวัศ (อำนาจของผู้เลิศประเสริฐยิ่งใหญ่)

เหล่านี้ล้วนเป็นนามสกุลที่ท่านเจ้าคุณตั้งให้

ครอบครัวเราจึงมาลงมติเลือกนามสกุลออกมาแล้วผมก็เอาไปตรวจสอบการซ้ำว้อนว่ามีนามสกุลเหล่านี้ใช้อยู่หรือยัง และในที่สุดก็เลือกก็คือ "ชยางคกุล" (JAYANGAKULA) เป็นนามสกุลใหม่ของครอบครัวเรา เพราะเขียนง่าย ความหมายดี

ผมจึงถือว่าสิ่งนี้เป็นความทรงจำที่ดีความทรงจำหนึ่งในชีวิต และเป็นหนึ่งในมงคลในชีวิตของผมเช่นกันที่ท่านเจ้าคุณได้ตั้งนามสกุลนี้ให้แก่ครอบครัวเรา

Sunday 4 May 2008

Pay Respect

การแสดงความเคารพตามขนบธรรมเนียมประเพณีของคนไทยนั้น มีอยู่มากมายหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับกาละและเทศะที่ผู้นั้นจะแสดงความเคารพนั้น

ตั้งแต่เด็กผมจำได้ว่าผมไม่เคยกราบเท้าพ่อและแม่เลย (ถ้านับข้ามๆ งานวันพ่อวันแม่ที่ทางโรงเรียนจัดขึ้น) บางทีแอบอิจฉาหลายคนที่มีโอกาสเหล่านั้น

ผมเคยคิดหาโอกาสอยู่หลายครั้งมากว่า เราจะถือโอกาสไหนดีหนอที่จะกราบเท้าพ่อและแม่ได้ บางคนอาจไม่ต้องคิดมากเช่นผม แต่อย่างที่เคยบอกครั้งแรกในการทำทุกสิ่งมักต้องคิดมากเสมอแหละ จริงไหม?

จวบจนกว่า 20 ปีผมก็ไม่เคยกราบเท้าพ่อและแม่อย่างเป็นทางการเสียที จนกระทั่งเมื่อปีพ.ศ. 2547 ผมได้เข้าบวชที่อุโบสถ วัดญาณเวศกวัน โดยมีพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) หรือพระธรรมปิฎก (ในขณะนั้น) เป็นพระอุปัจฌายะ

นอกจากการบวชครั้งนี้จะเป็นการบรรพชาครั้งแรกของผมแล้ว ยังถือเป็นโอกาสที่ผมจะได้กราบเท้าผู้มีพระคุณคือ พ่อและแม่อย่างเป็นทางการอีกด้วย

การกราบเท้าพ่อแม่ เป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้จริงๆ นะครับ แต่ผมขอบอกได้เลยว่ามันเป็นมงคลแก่ชีวิตอย่างยิ่ง (จำได้ว่าไม่เพียงแต่ผมเท่านั้นที่น้ำตาไหล แต่พ่อและแม่ผมก็เช่นกัน)

จากนั้นผมก็มีโอกาสอีกครั้งตอนสึกจากเพศบรรพชิต ผมมีโอกาสที่จะกราบเท้าพ่อและแม่อีกครั้ง

จากเหตุการณ์ทั้งสองที่ผมหยิบยกขึ้นมานี้ ทำให้ผมรู้และเข้าใจสิ่งหนึ่งขึ้นมา ก็คือ การแสดงความเคารพนั้นต่อพ่อแม่นั้น ท่านทั้งสองไม่ได้เพียงรับรู้โดยการกระทำทางกายเท่านั้น แต่ท่านจะรับรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในจิตใจของลูกของท่านด้วยเสมอ

อยากให้ทุกคนแสดงความเคารพ ความรัก ความห่วงใยพ่อแม่ของทุกคนมากๆ และบ่อยๆ เท่าที่มีโอกาส

ดังพุทธพจน์ที่ว่า "ปูชา จะ ปูชนียานัง เอตัมมัง คะละมุตตะมัง" "การบูชาคนที่ควรบูชา ถือเป็นมงคลแก่ชีวิตอย่างยิ่ง"

Thursday 1 May 2008

So Proud

หลายปีที่แล้ว ผมเคยมีความรู้สึกเบื่อที่หลายครั้งพ่อแม่มักจะเอาเรื่องของผมไปเล่าโชว์ญาติพี่น้อง เพื่อพ้อง ว่าผมเรียนที่ไหน ทำงานอะไร หรือกำลังจะทำอะไร เพราะว่าผมมีความรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องในครอบครัวที่เราไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องเอาไปโพทนาให้คนอื่นๆ เขารับรู้ หรือร่วมยินดีกับผมนี่นา แค่รู้กันในครอบครัวก็พอแล้ว

หลายคนที่เคยมีความรู้สึกอย่างผม ลองคิดในทางกลับกันดูนะครับ

  1. เรื่องพี่พ่อแม่เราเล่าให้คนอื่นฟัง คือเรื่องของใคร ตอบ เรื่องของเรา
  2. คนที่พ่อแม่เล่าให้ฟัง เป็นคนรู้จักของใคร ตอบ คนรู้จักของพ่อแม่ ที่อาจไม่รู้จักเรา
  3. พ่อแม่เล่าให้เขาฟังทำไม ตอบ อาจจะเพราะต้องการบอกให้คนอื่นรู้ว่าลูกเขาเก่ง มีความสามารถ หรือประสบความสำเร็จในชีวิตเพียงใด หรือไม่ก็พูดจนให้คนอื่นอิจฉาว่ามีลูกที่ดี ฉลาด เก่ง กว่าคนอื่น
  4. ทำไมพ่อแม่ถึงได้ต้องเล่าให้เขาฟังด้วย ตอบก็เพราะว่าพ่อแม่เราภูมิใจในตัวเรา

ดังนั้น "ไม่มีเหตุผลที่เราจะไม่พอใจที่พ่อแม่ภูมิใจในตัวลูกคนนี้"

ตัวลูกเสียอีก "เคยสักครั้งไหมที่จะบอกให้คนทั้งหลายรู้ว่าเราภูมิใจในตัวพ่อแม่เรามากหรือน้อยเพียงใด เคยไหมที่จะกล่าวชื่นชมพ่อแม่ให้คนอื่นฟังจนอิจฉาที่มีพ่อแม่เช่นพ่อแม่เรา"

ลองถามตัวเองดูสักครั้ง แล้วนับดูว่ามีบ้างไหม และมีกี่ครั้งที่จำได้

ถ้าเราก็ภูมิใจในตัวท่าน ก็ลองเปรียบกันดู

"พ่อแม่เราภูมิใจในตัวเราตั้งแต่แรกที่รู้ว่าตั้งท้อง

วันที่เราลืมตาดูโลก

วันแรกที่เราพูด

วันแรกที่เราเรียกชื่อพ่อแม่

วันแรกที่เราเริ่มเดิน

วันแรกเราไปโรงเรียน

วันที่เราเรียนจบ

วันที่เราประสบความสำเร็จ

จนปัจจุบัน"

แค่นับวันเวลาแห่งการภาคภูมิใจในกันและกันอย่างน้อยความภาคภูมิใจของพ่อแม่มันก็ยาวนานกว่าเรา

เพราะมันเกิดขึ้นก่อนที่เราจะมองเห็นและจดจำหน้าพ่อแม่ได้ รวมไปถึงเข้าใจในความภาคภูมิใจด้วยซ้ำ

Contact

คอนแทคในที่นี้ไม่ใช่การติดต่อ แต่เป็นการสัมผัส

การสัมผัสเป็นการถ่ายทอดความรู้สึกต่อกันโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยการพูดและการได้ยิน

หลายครอบครัวคงเป็นเหมือนผม คือในครอบครัวเราไม่ค่อยมีการสัมผัสกันมาก ไม่ว่าจะเป็นการกอด หรือการหอม อย่าว่าเลยแม้แต่การบอกรักกันก็เป็นเรื่องยากสำหรับครอบครัวผม

เวลาผ่านไปนานเกินกว่าที่ผมจะกลัวในการแสดงออกถึงความรู้สึกเหล่านั้นอีกต่อไป ผมเริ่มที่จะจับมือพ่อแม่ นอนหนุนตัก กอดแขน ไปถึงการกอดตัว ผมกล้าที่จะยืนกอดต่อหน้าสาธารณะชนโดยไม่จำเป็นต้องอายใคร

เพราะเมื่อคุณกอดแม่ของคุณ สิ่งที่คุณต้องคิดถึงคือความรู้สึกของแม่ที่ได้รับการกอดจากคุณ มากกว่าความรู้สึกของคนอื่นที่เห็นคุณกอดแม่

ดังนั้นตอบได้ไม่ยากเลยว่า แม่ชอบไหมที่เรากอด แล้วก็ตอบได้ไม่ยากอีกเช่นกันว่าชอบ

จึงอาจกล่าวได้ว่า ไม่มีเหตุผลเลยที่ผมจะไม่กอดแม่ทุกครั้งที่ผมต้องการแสดงความรัก ความห่วงใยต่อแม่ผม

หลายคนที่ยังมีโอกาสที่จะกอดคนที่คุณรัก ก็ทำไปเถิดครับ อย่าไปสนใจความรู้สึกของคนอื่น พึงสนใจเฉพาะความรู้สึกของคนที่คุณกอดเขาก็เพียงพอแล้ว

Make a Wish

หลายคนเฝ้าที่หาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอพรให้ชีวิตของตนเองมีแต่ความสุขความเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ

หลายคนพยายามไปหาพระหาเจ้าเพื่อให้เขาอวยพรให้ชีวิตมีอต่ความสุขโชคลาถไหลมาเทมา................โดยลืมมองกลับไปยังพระที่บ้านของเรา

พ่อแม่งัยครับ คือพระที่ประเสริฐสุดสำหรับลูก ท่านไม่เคยสักนิดที่จะแช่งชักหักกระดูกให้ลูกฉิบหาย หรืออับจนหนทางในชีวิต

ดังนั้นไม่ต้องวิ่งเร่ไปหาพรจากที่ใด ในเมื่อที่บ้านมีตู้ขอพรเอนกประสงค์อยู่แล้ว ก็พ่อแม่อีกนั่นแหละ ขอได้ทั้งพรและเงิน

ดังนั้น สำหรับผมแล้วพรที่ประเสริฐที่สุดก็คือพรจากอาปาอาม้านั่นเอง ทุกครั้งที่ผมต้องเข้าสอบหรือแข่งขันอะไร ผมไม่เคยลืมเลยที่จะโทรศัพท์ไปบอกอาม้าและทุกครั้งอาม้าก็จะอวยพรให้ผมเสมอ ซึ่งผมถือว่าเป็นพรวิเศษที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด

คำพูดไม่มากมายที่เพียงบอกว่า "ขอให้ทำข้อสอบได้ ทำคะแนนให้ได้สูง ชนะทุกๆคนเลย" ดูเป็นคำพูดพื้นๆธรรมดาที่อาจไม่สละสลวยเท่าไร มันอาจดูเป็นคำพูดที่ทุกคนก็พูดออกมาได้เหมือนกัน แต่สำหรับผมความหมายของคำพูดที่อาม้าอวยพรผมนั้นผมไม่ได้รับรู้ด้วยหูเท่านั้น แต่ผมรับรู้ด้วยใจ

บ้านเราไม่ค่อยพูดคำหวานใส่กัน เพียงแค่คำพูดที่ดูธรรมดาประโยคหนึ่งจากบุพการีนั้น มันมีคุณค่าแความหมายมากว่าวาจาที่เปล่ง

แต่ความหมายของมันคือ "วาจาที่เปล่งพูดออกมานั้น คือ พูดอะไร เพื่ออะไร จากใคร และเพื่อใคร"