Sunday 27 April 2008

DAENG

หากจะกล่าวถึงเรื่องชื่อแล้ว ผมเคยเขียนไปหลายครั้งแล้วว่าอาม้ากับอาปาเลือกที่จะให้ผมชื่อกิตติ มากกว่ากีรติและกิจจา แต่จะมีกี่คนเชียวที่รู้ว่ากิตตินั้นก็ไม่ใช่ชื่อแรกของผม จะว่าไปผมเนี่ยะเปลี่ยนชื่อตัวมาแล้วครั้งนึงก่อนที่ค่านิยมในการเปลี่ยนชื่อจะเจริญรุ่งเรืองในปัจจุบันเสียอีก

ถูกต้องแล้วครับตามหัวข้อนี้ ชื่อเดิมของผมชื่อ แดง ครับ ดูดีมีระดับจะตาย แม้ว่าในช่วงนั้นมันจะมีคนชื่อนี้มากมายแต่ก็เป็นเพียงชื่อเล่นนะ แต่ของผมนี่ชื่อจริงตามสูติบัตรกันเลยทีเดียว

อาม้าบอกว่าตอนท้องก็ไม่รู้ว่าเป็นผู้ชาย หรือว่าผู้หญิง และก็เลยไม่ได้เตรียมชื่อไว้ พอคลอดนางพยาบาลมาถามว่าจะตั้งชื่อว่าอะไร ก็คิดกันไม่ออกไม่รู้เอาชื่ออะไรดี ก็เลยตั้งว่าแดงละกัน ผมก็เลยได้ชื่อนี้มาเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่อาปาจะไปแจ้งเปลี่ยนชื่อเป็นกิตติ อย่างทุกวันนี้ ซึ่งเป็นชื่อโบราณที่สมัยนั้นมีเยอะ แต่ปัจจุบันคนที่ชื่อกิตติ คงน่าจะเสียชีวิตไปเยอะแระ

แต่ทั้งนี้ที่ผมเล่ามิใช่ว่าดีใจที่ไม่ได้ชื่อแดงนะ แต่ไม่ว่าจะชื่อไหน ผมจะชื่ออะไร ผมก็ยังเป็นเหมือนเดิม เพราะอย่างที่บอกชื่อคือมงคลชีวิตอย่างหนึ่งซึ่งพ่อแม่เรามอบให้ อย่าไปยึดติดมากเลย เหมือนเวลารู้เพียงว่าท่านมอบให้เราด้วยความรักปรารถนาดีต่อเราเท่านั้น

ตราบเท่าทุกวันนี้ผมโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่สำหรับอาปาอาม้า ผมก็ยังเป็นไอ้แดงของท่านทั้งสองอยู่ดี

Monday 21 April 2008

Drunk

พูดถึงเรื่องเมาแล้ว ในที่นี้ไม่ใช่เมาเหล้าหรือว่าเมารัก!!!



แต่ว่ามันคือเมารถ



ตั้งแตเด็กผมเป็นโรคเมารถเสมอๆ รถที่ผมขึ้นแล้วไม่เมาก็คือรถแท็กซี่ นอกนั้นรถยนต์ทุกคันเมามันหมด



รถยนต์ที่สุดยอดก็คือ รถเปอร์โยต์ 505 สีนำเงินของอาปานั่นเอง ขึ้นทีไรอ้วกทุกทีสิพับผ่า!!



เบาะหนัง กลิ่นสุดยอดมากๆ


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความทรงจำในวัยเด็กเกี่ยวกับรถยนต์ของอาปา ไม่เฉพาะแต่เปอร์โยต์สำหรับผม แต่รวมถึงรถคันอื่นๆ ที่อาปาอาม้าซื้อมาเป็นกรรมสิทธิ์ มันไม่ใช่การเมารถ หรือกลิ่นเบาะของรถที่ทำให้ผมอ้วก



แต่มันคือ เรื่องที่อาปาอาม้าเล่าว่า "ครั้งหนึ่งผมไม่สบายมาก อาปาอาม้าต้องพาผมเข้ากรุงเทพเพื่อไปโรงพยาบาลหัวเฉียวตอนดึก แต่ไม่มีใครให้ยืมรถเลย ทำให้ไม่มีรถเพื่อพาผมส่งโรงพยาบาล นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาอาปาอาม้าจึงตัดสินใจซื้อรถเพื่อใช้ในยามที่มีความจำเป็น"

โดยคันแรกอาปาอาม้าตัดสินใจซื้อคือรถโตโยต้า Crown สีทอง รถ DATSUN สีเหลือง และรถเปอร์โยต์ตามลำดับ เพื่อเป็นพาหนะในยามที่ครอบครัวเรามีความจำเป็นต้องเดินทาง และรถยนต์เหล่านี้ทำให้ครอบครัวเราไปเที่ยวกันทุกวันตรุษจีนอย่างมีความสุข ตั้งแต่เด็กเป็นต้นมา



ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าความทรงจำในเรื่องรถของผมนั้น มันก็ผูกอยู่กับการดูแลเอาใจใส่เลี้ยงลูกอย่างดีของอาปาอาม้าอีกเช่นกัน

Rice Porridge

ตอนเด็กๆ อาทิตย์ไหนที่กลับบ้าน แล้วตรงกับที่อาปาต้องเข้ามาซื้อของในกรุงเทพ อาปาก็จะขับรถเข้ามาตั้งแต่เย็นวันอาทิตย์ เพื่อตอนเช้าจะพาพวกเราไปส่งตามโรงเรียนกัน ดังนั้นอาทิตย์ไหนที่อาปาจะเข้ามาส่ง เราก็จะดีใจ เพราะว่ากว่าจะออกจากบ้านก็เย็นๆ ไม่ต้องรีบกลับมาก

อาปาจะมานอนค้างคืนอยู่ด้วยกับพวกเรา ก่อนที่จะปลุกให้พวกเราลุกกันตั้งแต่เช้า เพื่อจะพาพวกเราไปกินโจ๊กก่อนที่จะไปส่งที่โรงเรียน

ร้านโจ๊กที่ไปกินกันบ่อยที่สุดก็คือร้านโจ๊กที่ราชวงศ์ ถนนที่ไปที่ท่าน้ำราชวงศ์ รองลงมาก็ที่สามย่าน แล้วก็ที่ยศเสก่อนถึงโรงเรียนเทพศิรินทร์

อาปาจะพาไปกินแล้วจะเริ่มขับรถวนส่งตามโรงเรียนต่างๆ ตอนผมยังอยู่สีตบุตรก็เริ่มจากโรงเรียนสีตบุตรบำรุง
โรงเรียนสตรีมหาพฤฒาราม และเทพศิรินทร์ จนกระทั่งผมเข้ามาเรียนที่เทพศิรินทร์ ก็เลยทุ่นแรงหน่อยเพราะว่าส่งแค่สองที่เอง

แต่ขอบอกว่าตอนเด็กๆ นั้นโจ๊กเลยกลายเป็นอาหารที่ผมไม่ชอบมาก เพราะต้องตื่นเช้าขึ้นมากิน แต่จะว่าไป ถ้าวันนั้นอาปาไม่ขยันขับรถรับส่งและพาพวกเราไปกินโจ๊กทุกครั้งที่มีโอกาส ก่อนพาพวกเราไปส่งตามโรงเรียน ประสบการณ์เหล่านี้คงไม่ฝังอยู่ในความทรงจำอันดีของเรา เพราะ"สิ่งที่ฝังอยู่ในความทรงจำของผมไม่ใช่เรื่องโจ๊ก แต่เป็นเรื่องการดูแลและเอาใจใส่พวกเราเป็นอย่างดีของอาปาต่างหาก"


Thursday 17 April 2008

The Mirror

บางคนคิดว่า การเข้ามาเรียนกรุงเทพฯของเด็กต่างจังหวัดเป็นเรื่องดี เพราะว่าจะทำให้เราเข้มแข็ง และโตเป็นผู้ใหญ่ รู้จักช่วยตัวเอง

ความคิดนี้ไม่ได้ผิดไปหรอก มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ผมจะเป็นกระจกเงาสะท้อนให้ฟังครับว่า.....

การที่ผมมาเรียนในกรุงเทพฯตั้งแต่เด็ก มันทำให้ผมโตเป็นผู้ใหญ่ กล้าตัดสินใจด้วยตนเอง ตั้งแต่เด็ก
  • ผมตัดสินใจในเรื่องต่างๆ เอง โดยบางส่วนก็ปรึกษาพี่ชาย พี่สาว หรือลูกพี่ลูกน้องที่มาพักอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ
  • ผมสามารถจัดการเรื่องอาหารการกิน จ่ายตลาด ทำกับข้าวเองตั้งแต่เด็ก
  • ผมสามารถเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัดคนเดียวได้ตั้งแต่อายุ 13 ขวบ (หลายคนอาจคิดว่าก็ไมเห็นจะยากเลย แต่ผมจะเล่าให้ฟังถึงขั้นตอนการกลับบ้านของผมมีดังนี้
  1. ต้องเดินจากบ้านพักไปที่สถานีรถไฟ หัวลำโพง
  2. โดยสารรถไฟสายเหนือ หรือสายอีสานจากหัวลำโพง ไปลงที่สถานีอยุธยา
  3. เดินจากสถานีรถไฟอยุธยา ไปนั่งเรือข้ามแม่น้ำป่าสัก
  4. ขึ้นฝั่งเดินจากท่าเรือ ไปที่สถานีรถที่เจ้าพรหม
  5. โดยสารรถจากหน้าเจ้าพรหม อยุธยา ไปยังสถานีรถที่ป่าโมก
  6. ลงที่สถานีรถที่ป่าโมก โดยสารเรือข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา
  7. ขึ้นจากเรือเดินเท้าต่อไปยังบ้านผม

นั่นคือสิ่งที่ผมต้องทำตั้งแต่เด็กเมื่ออยากกลับบ้าน

สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมโตขึ้น มากกว่าเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน ซึ่งผม"ไม่ปฏิเสธ"

แต่มีหลายสิ่งที่ผมขาดไป ไม่เหมือนเด็กทั่วไป

  • ผมขาดการพูดคุย เล่าเรื่องที่โรงเรียนให้พ่อแม่ฟังทุกเย็น
  • ผมไม่ค่อยมีโอกาสได้สวัสดีพ่อแม่ทุกเช่าก่อนไปโรงเรียน และทุกเย็นเมื่อกลับบ้าน
  • ผมไม่ค่อยมีโอกาสไปเที่ยวที่ไหนกับพ่อแม่นอกจากทุกวันตรุษจีน
  • ผมไม่ค่อยมีโอกาสกอดพ่อแม่เหมือนคนอื่นๆในวัยเดียวกัน
  • ผมไม่ค่อยมีโอกาสปรึกษา เรื่องต่างๆ จากพ่อแม่

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น

"ผมไม่เคยขาดความอบอุ่นจากอาปาและอาม้า หรือน้อยใจว่าไม่ได้มีโอกาสดีๆเหมือนคนอื่นๆ อาปาอาม้าไม่เคยทำให้ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมขาดหายไปนั้นมันไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ผมได้มา"

ผมแค่อยากบอกว่า "ผมรักอาปากับอาม้ามากครับ"

Farewell

การจากลานั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนไม่ค่อยชอบ

ชีวิตพบต้องเผชิญกับการจากมาตั้งแต่เด็ก เมื่อผมอายุได้สิบขวบผมก็ตัดสินใจที่จะเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ

ไม่ผิดหรอกครับ ผมตัดสินใจเอง

อาปา อาม้า เป็นคนที่มองหาอนาคตให้ลูกๆ เสมอ ทั้งสองคนเรียนมาน้อย (อาปาจบป.6 อาม้าจบแค่ ป.4) แต่ทั้งสองคนให้การสนับสนุนด้านการเรียนแก่ลูกๆ เป็นอย่างมาก ทั้งสองท่านอยากให้ลูกๆได้เข้าเรียนในโรงเรียนดีๆ ที่มากกว่าโรงเรียนประจำเทศบาลที่พวกเราเข้าเรียนกันมาตั้งแต่เด็ก (โรงเรียนเทศบาลวัดป่าโมกข์) ดังนั้นพอพี่สาวผมอายุ 12 ขวบ ก็มาเข้าเรียนที่โรงเรียนประตูชัย ในจังหวัดอยุธยาชั้น ป.5 เช่นเดียวกันกับพี่ชายผม แต่เมื่อเรียนจบประถมศึกษาก็พยายามที่จะให้ลูกๆ ได้เรียนในกรุงเทพฯ โดยได้เข้าหุ้นกับญาติๆ เช่าตึกแถว แถวๆ หัวลำโพงไว้ห้องนึง เพื่อให้ลูกหลานเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ พี่สาวและพี่ชายผมเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ ในระดับมัธยมศึกษา โดยพี่สาวเรียนที่โรงเรียนสตรีมหาพฤฒาราม พี่ชายเรียนที่โรงเรียนเทพศิรินทร์

แต่กับผมซึ่งเป็นลูกคนเล็กและอายุน้อยกว่าคนอื่น อาปาอาม้ากลับส่งให้มาเรียนที่ประตูชัย อยุธยาตั้งแต่อายุ 10 ขวบ (ป.3) พออายุ 12 ขวบ ขึ้นชั้น ป.5 อาปาอาม้าก็ส่งผมมาเรียนในกรุงเทพฯ โรงเรียนสีตบุตรบำรุง แล้วก็เข้าโรงเรียนเทพศิรินทร์ตามพี่ชายผม

ตอนแรกอาม้าก็ยังไม่อยากให้ผมเข้ามากรุงเทพฯ สักเท่าไหร่ ต้องตัดสินใจว่าจะให้ผมมาเข้าเรียนตั้งแต่ ป.5 หรือควรรอจนเข้า ม.1 ก่อน อาม้าจึงมาถามความเห็นจากผมในขณะนั้นซึ่งอายุ 11 ขวบกว่าๆ ว่าต้องการแบบไหน อยากจะจากอาปาอาม้ามาตั้งแต่ตอนนี้ หรือว่าจะรออีก 2 ปีตอนเข้าม.1

ผมจำได้ว่าผมตอบอาม้าไปว่า "จะจากกันปีนี้หรืออีกสองปี ก็ต้องจากเหมือนกัน ดังนั้นผมจะไปตั้งแต่ปีนี้เลยแล้วกัน" ท่านทั้งสองก็เลยตัดสินใจให้ผมมาเรียนกรุงเทพฯตั้งแต่ตอน ป.5

ผมยังจำวันนั้นได้ดี กระทั่งมาเรียนกรุงเทพฯ ทุกครั้งที่กลับบ้านผมจะดีใจมากและในเย็นวันอาทิตย์ เวลา 4 โมงเย็นผมต้องกลับมากรุงเทพฯ เพื่อขึ้นรถไฟตอน 6 โมงเย็น ผมจะเข้าไปอาบน้ำและร้องไห้ในห้องน้ำทุกครั้งไป จนเรียกได้ว่าผมชินกับการจากลามาตั้งแต่เด็กก็ว่าได้

Tuesday 15 April 2008

Childhood Activities

กิจกรรมยามว่างของเด็กในเมืองปัจจุบัน มักจะเสียไปกับการเล่นเกมส์ การเดินซื้อเสื้อผ้า และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ แต่กับเด็กในสมัยผม ชีวิตในวัยเด็กมักจะเพลิดเพลินไปกับกิจกรรมที่น่ากิ๊วก๊าวในสมัยนั้น หลายอย่างทีเดียว
  1. การจับแมลงปอ สำหรับผมแล้วการจับแมลงปอเป็นกิจกรรมจำพวก most favorite ทีเดียว เวลาเริ่มเข้าหน้าหนาว แมลงปอก็จะพากันออกมาโบยบินในทุ่งหญ้า เด็กๆ ก็จะจัดทำอุปกรณืง่ายๆ สำหรับจับแมลงปอ ประกอบด้วยไม้เหลายาวๆ สัก 2-3 เมตร ถุงพลาสติก และหนังยาง นำถุงพลาสติกผูกเข้าที่ปลายไม้ด้วยหนังยาง เสร็จแล้วก็ดำเนินกิจกรรมได้ แมลงปอหลากสี หลายลาย ทั้งแมลงปอเหลือง แมลงปอแดง แมลงดำ แมลงปอส้ม แมลงปอเขียว แมลงปอเสือ รวมไปถึงแมลงปอเข็ม
  2. การตกปลา ตกปลาเป็นกิจกรรมยามว่างที่ฝึกสมาธิดีสุดๆ เพราะการนั่งรอว่าต้องกระตุกเบ็ดเมื่อปลาตอดเหยื่อ ต้องอาศัยเวลามากพอควร แต่ใครๆ มักบอกว่าผมทำบาปขึ้น เพราะว่าผมมักตกปลาได้เยอะกว่าคนอื่นๆ เสมอ สมัยเด็กผมต้องนั่งเฝ้าปั๊มน้ำมัน ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับคลองส่งน้ำชลประทาน ดังนั้นจึงไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าการตกปลาเป็นกิจกรรมประจำวันทีเดียว สำหรับเบ็ดก็ง่ายมาก ต้องการเพียงไม้คัดเบ็ดซึ่งเหลาทีเดียวใช้ได้ทั้งตกปลาและจับแมลงปอ เส้นเอ็น เบ็ด ตะกั่ว ทุ่น แล้วก็เหยื่อ ดีที่ข้างปั๊มน้ำมันผมทำสวนดอกได้ด้วย ดังนั้น ไม่ยากเลยสำหรับเหยื่อก็ไส้เดือนที่ขุดได้ตัวนึงแบ่งได้ก็เป็นสิบชิ้นแล้ว
  3. การเลี้ยงแมลงทับ การเลี้ยงแมลงทับเป็นกิจกรรมที่อินเทรนด์สุดๆ ในสมัยนั้น เริ่มด้วยต้องเข้าสวนไปหาแมลงทับตัวผู้กับตัวเมียสักคู่นึง เอามาเลี้ยง แต่ไม่อยากเล่าสักเท่าไหร่ เพราะว่าเป็นกิจกรรมที่โหดร้ายมาก เอาไว้ว่างๆ จะเล่ารายละเอียดอีกที
  4. การเล่นว่าว เป็นกิจกรรมของครอบครัว เพราะอาปามักพาพวกเราไปเล่นว่าวที่หาดทรายบริเวณตีนท่า แม่น้ำเจ้าพระยาเสมอๆ ผมมักเล่นว่าวงูกับว่าวจุฬา เพราะว่าอาปามักจัดหาให้แค่สองอย่างนี้
  5. เล่นน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ด้วยเหตุที่บ้านผมอยู่ติดแม่น้ำ ดังนั้นการเล่นน้ำในแม่น้ำจึงเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ทุกวัน กิจกรรมนี้จึงเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ผมโปรดปราน
  6. พายเรือ ทุกปีในหน้าน้ำ ประมาณเดือนกันยายน ถึง พฤศจิกายน ที่ป่าโมกจะน้ำท่วม ดังนั้นทุกบ้านต้องอาศัยเรือในการเดินทางแทนรถ ดังนั้นเด็กทุกคนจะถูกหัดให้พายเรือเป็นตั้งแต่เด็ก ก็คงไม่ต่างกับการสอนให้เด็กขี่รถจักรยานสักเท่าไหร่

กิจกรรมเหล่านี้เป็นกิจกรรมเท่าที่ผมคิดออกในตอนนี้ เป็นความทรงจำดีๆ ในชีวิตผมตั้งแต่เยาว์วัย

Sunday 13 April 2008

Let's take care them

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นประมาณเมื่อปี พ.ศ.2532 ขณะที่ผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่สอง โรงเรียนเทพศิรินทร์ ผมได้มีโอกาสไปงานศพคุณแม่ของอาจารย์ท่านหนึ่งที่ผมเคารพ (ขออนุญาตเอ่ยชื่อ "อาจารย์มาลี")

ณ งานศพวันนั้น อาจารย์บอกกับพวกเราว่า อาจารย์ทำใจเรื่องคุณแม่ได้แล้ว ดีใจที่ตลอดระยะเวลาที่ท่านมีชีวิต อาจารย์ได้ดูแลท่านเป็นอย่างดี เต็มกำลังแล้ว

อาจารย์จึงหันมาบอกย้ำกับพวกเราว่า "จะทำอะไรให้พ่อแม่เราก็ต้องรีบทำตั้งแต่ท่านมีชีวิตอยู่ เมื่อท่านจากไปแล้ว ต่อให้ทำบุญ กรวดน้ำ เผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้มากมาย ก็ไม่รู้ว่าท่านจะได้รับ หรือไม่ แต่ทำตอนที่ท่านมีชีวิตนี้ ท่านรับรู้และด้รับอย่างแน่นอน อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไร้ประโยชน์"

ถ้าอาจารย์มาลีได้บังเอิญอ่านพบข้อเขียนนี้ ผมอยากบอกอาจารย์ว่า "ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมไม่เคยปล่อยให้เวลามันผ่านไปโดยไร้ประโยชน์เลยครับ"

Name

เคยถามอาม้า ว่าทำไมถึงตั้งชื่อผมว่ากิตติ อาม้าตอบว่า

"ก็มันมีอยู่ 3 ชื่อ คือ กิตติ กิจจา และกีรติ ก็อยากให้ชื่อกิตติ ก็เลยเลือกกิตติ"

อันที่จริงก็คือว่าผมน่ะเกิดวันจันทร์ ดังนั้นเขาว่ากันว่าชื่อไม่ควรมีสระ ควรมีแต่พยัญชนะล้วนจึงจะดี ไม่เป็นกาลกินี แต่นี่เล่มมีสระอิตั้งสองตัว ถือว่าเป็นกาลกินีเบิ้ลเลย

แต่สำหรับผม ผมคิดว่าตอนอาปา อาม้าเลือกชื่อนี้ให้ผม คงไม่ได้เพราะต้องการให้มีความเป็นกาลกินีกับตัวผม แต่ในทางตรงกันข้ามต้องการที่จะให้ผมเจริญรุ่งเรืองมากกว่า ดังนั้น ผมจึงภูมิใจในชื่อนี้มาก แม้ว่าใครจะหาว่ามันเชย หรือมีกาลกินี แต่สำหรับผมสิ่งนี้ถือเป็นหนึ่งในมงคลชีวิตของผม

Friday 11 April 2008

Furniture polish

การเลือกผู้หญิงที่ดีมาเป็นศรีภรรยานั้น อาม้าสอนไว้หลายอย่าง อย่างหนึ่งก็คือดูที่ลิปสติก หรือรู้จ แต่อีกอย่างให้ดูการบิด"ผ้าขี้ริ้ว" (Furniture Polish)

หลายคนอาจสงสัยกันว่าทำไม

หากท่านเคยเช็ดถูอะไรอยู่บ้าง จะพบได้ว่าการถูโต๊ะ หรือสิ่งของต่างๆ โดยผ้าขี้ริ้วนั้น หากผ้าบิดไม่หมาดมากๆ จะทำให้สิ่งของนั้นๆ เป็นรอย

ดังนั้น"การให้ความสำคัญกับสิ่งเล็กน้อยเหล่านั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เช่นเดียวกันกับการบิดผ้าขี้ริ้วให้หมาดก่อนที่จะเช็ดถู"

Rouge

รู้จ (Rouge) คำๆ นี้ หลายคนที่ความรู้ภาษาฝรั่งเศสอยู่บ้างก็คงรู้ว่าแปลว่าสีแดง แต่สำหรับเด็กต่างจังหวัดแบบผม ผมรู้จักคำคำนี้มาตั้งแต่เด็กในความหมายที่ว่า รู้จก็คือลิปสติก นั่นเอง คงเพราะว่ารู้จมักมีสีแดง จึงมีการเรียกตามสีในภาษาฝรั่งเศส

บางคนอาจสงสัยว่า แล่วรู้จมันเกี่ยวอไรกับผม จะบอกว่าไม่เกี่ยวโดยตรงหรอก แต่เกี่ยวกับคำสอนของอาม้าที่มักสอนว่า

"หากเราจะเลือกผู้หญิงสักคน และจะดูว่าผู้หญิงคนนั้นมีความเป็นกุลสตรีแค่ไหน มีมารยาทและความละเอียดเรียบร้อยให้ดูที่รู้จ หรือลิปสติกที่เธอใช้ หากว่าปลายลิปสติกแหลม ถือว่าผ่าน แต่ถ้าปลายทู่ ไม่เป็นระเบียบ ก็ตกไปตามระเบียบ"

Preparation

เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยตรงกับผม แต่อาม้าเล่าให้ฟังอีกทีหนึ่ง

สมัยก่อนยังไม่มีน้ำประปา การจะมีน้ำไว้อาบนั้นจะต้องไปตักน้ำจากบ่อ มาใส่ตุ่มไว้ที่ห้องน้ำ โดยมีการผลัดกันระหว่างอาม้า กับอาอี๊ (ป้า)

อาม้าเล่าว่า ตอนที่เป็นเวรอี๊ อี๊ก็จะตักจนเกือบเต็มโอ่งเหลือซัก สองถังจะเต็มโอ่ง อี๊ก็จะพอโดยให้เหตุผลว่า เดี๋ยวตักอาบน้ำก็ลดแล้ว ไม่ต้องตักให้เต็มหรอก

แต่พอถึงเวรอาม้า อาม้าจะตักน้ำจนเต็มโอ่ง แล้วยังตักจนเต็มถังมาวางข้างๆ โอ่งอีกหนึ่งถัง เพื่อเวลาอาบแล้วพอน้ำลดลงก็เอาน้ำในถังตักใส่อีกได้ โดยอาม้าบอกว่า

“เวลาทำงานอะไร ต้องทำให้เต็มที่ หรือทำให้เกินไว้ก็ยิ่งดี”

Soul mate

แทบไม่อยากจะเชื่อว่าแนวคิดเรื่อง Soul mate นั้น ไม่จำเป็นเสมอไปว่าต้องเป็นแนวคิดของตะวันตก แต่สำหรับชาวตะวันออกแนวคิดเรื่องนี้ก็มีอยู่เช่นกัน

ผมเขียนไปครั้งหนึ่งแล้วสำหรับเรื่องคู่ครอง แต่ครั้งนี้ก็จะขอกล่าวถึงอีกครั้งหนึ่ง

มีญาติคนหนึ่งของผม บอกในขณะที่ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ว่า หากมีโอกาสให้หาแฟนสักคนเลย ไม่ต้องรอทีหลัง เดี๋ยวเหมือนเขา ปล่อยให้เวลาผ่านไปไม่ยอมหาแฟนตั้งแต่อยู่ในมหาวิทยาลัย จนบัดนี้ยังหาไม่ได้เลย

อาปาได้ยินญาติคนดังกล่าวถามผมเลยบอกว่า

“คนเราน่ะมันมีคู่อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องวิ่งหาความรักหรอก ถ้ามันไม่ใช่ในที่สุดแล้วก็ต้องเลิกกันอยู่ดี แต่เมื่อถึงเวลาคนคนนั้นก็จะวิ่งมาชนเราเอง”

แนวคิดนี้ไม่ต่างไปจากแนวคิดเรื่อง Soul mate เลย ดังคำกล่าวที่ผมเคยลักจำมาจากคนคนหนึ่งว่า ไม่ต้องวิ่งหาความรัก ปล่อยให้ความรักมันวิ่งหาเรา “Don’t find love, let’s love find you”

Food

สำหรับคนเชื้อสายจีนนั้น มีแนวคิดประการหนึ่งในการที่จะให้ความสำคัญกับอาหารการกิน

ชาวจีนมีความคิดว่า การที่จะทำการใดๆ นั้น ร่างกายจะต้องสมบูรณ์ การที่ร่างกายจะสมบูรณ์ดีก็ขึ้นกับอาหารการกินที่ดี

ดังนั้น คนจีนจึงสรรหาแต่ของดีๆ มากินกันในครอบครัว

สำหรับครอบครัวผม อาปา อาม้าจะให้ความสำคัญกับอาหารการกินเช่นกัน อาปา อาม้ามักจะบอกเสมอว่า

“การใช้จ่ายเงินเพื่อกินข้าวนั้นไม่ต้องเสียดาย อยากกินอะไรก็กินไปเถอะ ไม่ต้องเสียดาย เสียเงินกินของดีๆ ดีกว่าเสียเงินเพราะการพนันและยาเสพติด”

Tuesday 8 April 2008

Marriage

เป็นที่แน่นอนว่าการมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์และมีความสุข เป็นความมุ่งหวังของทุกคน ผมก็เช่นกัน แต่ด้วยปัจจัยหลายประการทำให้ ปัจจุบันผมยังอยู่เป็นโสดอยู่เลย

เวลาไปงานปาร์ตี้ครอบครัว ญาติโยมมักถามว่า มีแฟนหรือยัง เมื่อไหร่จะแต่งงาน โอ้ย คำถามเหล่านี้มักถูกถามเป็นประจำ

กระทั่งวันหนึ่งมีญาติผมถาม ผมและอาม้า ว่าแล้วเมื่อไหร่ผมจะแต่งงานซะทีล่ะ อาม้าก็เลยตอบแทนว่า

"ดอกไม้ทุกดอก มันย่อมมีวันที่จะตูมและบานตามธรรมชาติของมัน เหมือนชีวิตคู่นั่นแหละ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องไปเร่งเร้าอะไรมันหรอก เมื่อถึงวันที่มันจะตูมและบานเหมือนดอกไม้ มันก็จะตูมและบานออกมาเอง"

Driving

การหัดขับรถของครอบครัวเรานั้น ล้วนมาจากฝีมือการสอนของอาปาทุกคน ทั้งลูกๆ และคนงานในบ้าน ทุกคนต่างผ่านการฝึกสอนขับรถจากอาปามาแล้วทั้งสิ้น

สำหรับผมก็เช่นกันตั้งแต่รถจักรยาน รถจักรยานยนต์ รถกระบะ รถตู้ รถยนต์ ล้วนแต่ก็มีอาปาเป็นผู้สอนให้ทั้งนั้น

การสอนขับรถยนต์ของอาปานั้น ถ้าเป็นลูกๆ แล้ว อาปาจะสอนแบบ learning by doing คือบอกทฤษฎีเล็กน้อย แล้วก็ให้เราลองขับเลย

สนามหัดขับรถก็คือสนามฟุตบอล โรงเรียนประจำอำเภอนั่นเอง ทั้งเดินหน้า เลี้ยวซ้าย-ขวา ถอยหลัง ทุกคนที่หัดขับรถกับอาปาผ่านสนามฝึกแห่งนี้มาแล้วทั้งนั้น

ผมเองฝึกหัดขับรถยนต์มาตั้งแต่มัธยมศึกษาตอนต้น แต่จะขับเฉพาะที่ป่าโมกเท่านั้น ไม่ได้ขับในกรุงเทพฯ เพราะว่าก่อนที่จะได้ขับรถยนต์ในกรุงเทพฯ นั้น จะต้องมีการฝึกหัดกันก่อน อย่างเฮียเหนือต้องหัดขับรถยนต์ในกรุงเทพฯก่อน โดยอาปาจะเข้ามาหาที่บ้านหัวลำโพง แล้วพาออกไปหัดขับรถต์ในวันอาทิตย์ ซึ่งถนนมักจะว่างเป็นพิเศษ

สำหรับผมเอง ผมเริ่มขับรถยนต์เข้ากรุงเทพฯ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2541 โดยผมไม่เคยที่จะขับรถยนต์ในกรุงเทพฯ มาก่อน แต่แล้ววันนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดี กระทั่งวันนี้ผมยังคงขับรถยนต์ไปทำงาน และเดินทางติดต่อโน่นนี่อยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้เพราะคำสอนเพียงคำสอนในการขับรถของอาปาที่พร่ำสอนผมมาตลอดก็คือ

"การขับรถดี ขับรถเก่ง ไม่มีหรอกมีแต่ขับรถได้ หากวันใดคนขับง่วง ต่อให้ขับดีขับเก่งแค่ไหน อุบัติเหตุก็ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ"