Wednesday 21 January 2009

Chinese films in my memory: The Green Snake

หนังจีนอีกเรื่องหนึ่งที่ผมจำได้ดีทีเดียว ไม่เฉพาะว่ามันเป็เพราะเนื้อเรื่อง แต่เพราะอย่างอื่นด้วยต่างหาก



สมัยก่อนจะมีเรียกว่าเป็นห้างก็ได้นะ ชื่อ Hollywood อยู่ใกล้ๆ สะพานหัวช้าง ในนั้นจะมีโรงหนังอยู่สองโรงถ้าจำไม่ผิด ราวๆ ช่วงมอปลาย เป็นช่วงหนังจีนมาแรงน่ะ ผมและเพื่อนๆ ก็ได้มีโอกาสไปใช้บริการโรงหนังที่ฮอลิวูดครั้งนึง



ในการไปดูหนังครั้งนั้นพวกเราไปดูหนังเรื่อง นางพญางูขาว ที่นำแสดงโดยหวังจู่เสียน และจางมั่นอวี้ ไอ้หนังน่ะ มันก็น่าติดตามดีนะ แต่ไอ้ที่มันน่าจำก็คือ



โดยทั่วไปนั้นโรงหนัง จอฉายจะตั้งตรงอยู่ด้านหน้า ส่วนที่นั่งก็จะเรียงสโลพเอียงขึ้นไปเรื่อยๆ ใครนั่งหน้าก็ต้องแหงนคอตั้งหน่อย แต่ไอ้โรงที่ผมไปดูนี้มันต่างออกไป เพราะว่าที่นั่งมันเป็นระดับเดียวหมด เหมือนนั่งดูดนตรีตามงานวัดเลย ระดับเดียวกันหมด แล้วมันดันเสือกกระโหลกเอียงจอทำมุมแหลมกับพื้นแทน



จำได้ว่าเข้าไปเจอแล้ว งงเป็นไก่ตาแตกเลย แบบนี้ก็มีด้วย



ป.ล. หนังเรื่องนี้ภาษาอังกฤษใช้ชื่อว่างูเขียวนะ แต่ภาษาไทยชื่อเป็นงูขาว นี่ก็งงอีกรอบนึง


Chinese films in my memory: The Tai-Chi Master

หนังจีนเรื่องนี้มีความทรงจำอีกเรื่องหนึ่ง



ในช่วงหลังจากที่สอบเอ็นทรานซ์เสร็จ เป็นช่วงที่ผมและเพื่อนๆ ได้เดินทางไปเที่ยวเมืองตรังครับ (รอกันนิดนะครับสำหรับ เรื่องราวการเที่ยวครั้งนี้จากความทรงจำของผม ในบันทึกเด็กหัดเที่ยว)



ในการเดินทางไปตรังครั้งนี้ พวกเราได้ไปดูหนังจีนในโรงภาพยนตร์กลางเมืองตรัง ช่วงระหว่างที่กลับจากเกาะไหงมาอยู่ในเมืองแล้ว



โรงหนังที่ตรังก็ไหญ่นะครับ แต่ว่ามันเป็นโรงพัดลม โอ้ยแล้วคิดดูว่าไปนั่งดูตอนหน้าร้อน ดูหนังเสร็จก็ประหนึ่งอาบน้ำมานั่นแหละ



เข้าเรื่องดีกว่า หนังเรื่องนี้ก็คือเรื่องมังกรไท้เก็กครับ แสดงโดยหลี่เหลียนเจี๋ย กับหยางจื่อฉุน


Chinese films in my memory: The Heroic Trio

ชีวิตผมค่อนข้างผูกพันกับหนังจีน ตั้งแต่เด็กผมชอบหนังจีนมา แถมเพื่อนๆ ในกลุ่มก็ดันมาชอบเหมือนกันเสียอีก



หนังจีนในความทรงจำเรื่องแรกที่ผมจะเขียนนี้ ผมจำได้ดีเพราะเรื่องนี้ออกฉายราวๆ ปี 1993 ตอนนั้นอยู่มอปลายแล้ว



ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ผมและเพื่อนๆ โดดเรียนเพื่อไปดูกันที่โรงภาพยนตร์รามา ซึ่งในสมัยนั้นเป็นโรงหนังที่ใหญ่มาก แม้ว่ามันจะสกปรกเต็มที่แล้ว เพราะใส่ขาสั้นไปดู หนังจบนี่ข้อพับหลังเข่าที่สัมผัสที่นั่งผื่นขึ้นคันกันเลยทีเดียว



หนังเรื่องนี้ก็เลยเป็นเรื่องที่ผมจดจำได้ดีครับ




เรื่อง The Heroic Trio อุอุ หากไม่เข้าใจว่าคือเรื่องอะไร ขอแปลเป็นไทยว่า "สวยประหาร" นำแสดงโดย เหมยเยี่ยนฟาง หยางจื่อฉุน และจางมั่นอวี้






หนังเรื่องนี้ผมดูมาเป็นสิบรอบแล้ว ครับ

Why's KITMARC??

มีหลายคนเคยสงสัยครับว่าชื่อที่ผมใช้เนี่ยะมันคืออะไร มันมาจากไหน แล้วตกลงมันอ่านว่าอะไร วันนี้ก็เลยอยากเขียนเรื่องนี้แหละครับ.......


ตำว่า kit มันง่ายมาก ทุกคนที่รู้จักผมดี ก็คงรู้ว่านี่คือชื่อผม ส่วนคำว่า 'marc' มันมีที่มาจากสองที่ครับ



ที่มาที่แรก........บทเพลงที่ชอบ



วันนี้เป็นอีกวันที่ผมได้มานั่งคิดอะไร ต่ออะไร ไปเรื่อยเปื่อย ได้เข้าเว็บดูโน่นนี่บ้าง ได้ฟังเพลง ได้ดูหนังออนไลน์บ้าง



อยู่ๆ ใจก็ดันนึกขึ้นมาถึงบทเพลงบทเพลงหนึ่ง




เพลงนี้เป็นเพลงสากลเพลงแรกที่ผมชอบฟังและร้องมาก (สมัยนั้นต้องขวนขวายหาเนื้อเพลง อินเตอร์เน็ตก็ยังไม่มี ซีดีก็ยังไม่มี มีแต่เทปคาสเซ็ต ได้เนื้อมาก็ต้องเปิดดิกชันนารี่ หาศัพท์แปลเนื้อเพลงอีก)



ที่ผมชอบและรักเพลงนี้มาก เพราะเป็นเพลงสากลเพลงแรกเลยที่ผมสามารถร้องไห้ได้เมื่อได้ฟัง (โดยที่เข้าใจความหมายเพลงนะ เพราะก่อนหน้านี้เคยร้องไห้ได้อีกเพลงหนึ่ง แต่่เพลงนั้นร้องไห้ได้ทั้งที่ไม่เข้าใจความหมายเพลง เพราะว่ามันใช้ประกอบละครแด่คุณครูที่รักน่ะครับ (จำได้ไหน นานมาแล้วมากๆๆๆๆๆๆ) เพลงนั้นคือเพลง Wind beneath my wings



ทีนี้ย้อนกลับมาเพลงที่ผมพูดถึง เพลงนี้เป็นเพลงของนักร้องต่างชาติที่ผมชื่นชอบมากคนหนึ่งครับ คือ Marc Anthony ครับ เพลงที่ผมชื่นชอบเพลงนั้นคือเพลง My baby you เป็นบทเพลงที่มาร์คเขียนให้แก่ลูกของเขา เพลงนี้สื่อความหมายด้านความรักได้ดี ลึกซึ่งมาก มาร็ค แอนโธนี่ เลยเป็นหนึ่งในนักร้องคนโปรดของผม



เท่าที่จำได้ มาร์ค แอนโธนี่ได้ร้องเพลงนี้ในคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งนี้เพียงครั้งเดียว แล้วก็ไม่เคยร้องเพลงนี้ในคอนเสิร์ตอีกเลย





ที่มาที่สอง.......หนังที่ผมชอบ


ภาพยนต์เรื่องนี้ออกฉาย ราวๆ ปี 1995 ชื่อเรื่อง Empire Records เป็นหนังที่ผมชอบมากเรื่องหนึ่ง จำได้ว่าผมดูหนังเรื่องนี้ไม่ต่ำกว่า 20 รอบ อิอิ


ตัวละครในเรื่องนี้มีตัวนึงที่ผมชอบมาก ชื่อว่า Marc (ซึ่งตามเรื่องบอกว่าต้องสะกดด้วยตัวซี เท่านั้น ไม่ใช่ตัวเค)





นั่นแหละครับที่มาของคำว่า 'marc'






เมื่อรวมกันแล้วก็คือคิทมาร์ค แต่ผมมันคนไทยไง คิทมาร์ค ก็เลยกลายเป็นคิดมากไปโดยปริยาย



นั่นแหละครับที่ว่า ทำไม๊ ทำไม ต้องคิดมาก

Sunday 4 January 2009

Song: กุหลาบเวียงพิงค์

ทุกปีในเทศกาลตรุษจีน ที่บ้านเราจะต้องไปเที่ยวกันทุกปีเป็นประจำ โดยอาปาจะขับรถไปทุกคนก็ขึ้นนั่งประจำที่ บางปีก็เป็นรถเก๋ง บางปีเป็นรถกระบะ แล้วแต่จำนวนผู้โดยสาร




ผมจำได้ว่าทุกครั้งก่อนออกเดินทาง อาม้าจะเดินขึ้นรถพร้อมกระเป๋าใบหนึ่ง ในกระเป๋าจะเต็มไปด้วยเทปคาสเซ็ทหลายม้วน เพื่อเปิดตลอดระยะเวลาการเดินทางของเรา (ปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นนั้น แต่เพียงเปลี่ยนเป็นแผ่นซีดีแทน)




เทปตลับหนึ่งที่อาม้าไม่พลาดที่จะนำไป และเปิดเสมอ หน้าปกเทปเป็นรูปดอกกุหลาบสีแดงดอกหนึ่ง และเขียนชื่ออัลบั้มว่า กุหลาบเวียงพิงค์ วงศ์จันทร์ ไพโรจน์




เพลงนี้เป็นเพลงที่อาม้าชอบ ในความทรงจำของผม เมื่อเพลงนี้ดัง ผมจะนึกถึงอาม้าก่อน วงค์จันทร์ ไพโรจน์ แน่ๆ




กุหลาบเวียงพิงค์ - วงจันทร์ ไพโรจน์

Song: น้ำตาร่วงหลังพวงมาลัย

สมัยก่อน อาปามีอาชีพขับรถแท็กซี่ป้ายดำ ซึ่งสมัยนี้ไม่มีให้เห็นแล้วครับ มันก็คือคล้ายรถรับจ้าง รับเหมาไปโน่นนี่น่ะครับ




อาปาชอบรถ และการขับรถมาก ในขณะเดียวกันอาปาก็ชอบเพลงด้วย เพลงที่เปิดประจำในรถของอาปาจะมีไม่มาก มันเป็นเพลงของทูล ทองใจ หรือธานินทร์ อินทรเทพและครับ




เพลงๆ หนึ่งที่เป็นเพลงที่ผมได้ยินทีไร ผมจะนึกถึงอาปาทุกที เพราะเป็นเพลงที่อาปาชอบมาก เปิดในรถบ่อยๆ จำได้ว่าสมัยเด็ก อาปาจะเปิดเพลงๆ นี้เสมอ เพราะอาปาบอกว่าชีวิตอาปาก็เหมือนเพลงนี้น่ะ คือนั่งอยู่หลังพวงมาลัยตลอดเวลา





น้ำตาร่วงหลังพวงมาลัย - ธานินทร์ อินทรเทพ

Song: มั่นใจไม่รัก

ครอบครัวเราก็เป็นอีกครอบครัวที่ชื่นชอบการร้องเพลง



มันก็เลยต้องมีบทเพลงที่ได้ยินเมื่อไหร่แล้วผมก็จะมีความทรงจำย้อนขึ้นมาทัใด กลายเป็นความทรงจำที่ติดอยู่ในใจของผมตลอดมา



ช่วงวันเกิดอาปา กินเลี้ยงก่อนวันที่ 23 กันยายน 2547 อาม้าร้องเพลงให้อาปาเพลงหนึ่ง ที่งานเลี้ยงพี่เขยผมถามอาม้าว่ารักอาปาไหม อาม้าก็ไม่ยอมตอบ ญาติๆ ก็ถามกันใหญ่ให้ตอบ อาม้าก็ไม่ยอมตอบ ในที่สุดอาม้าก็เลยเลือกที่จะร้องเพลงเพลงหนึ่งเพื่อเป็นคำตอบที่ญาติ ถามว่าอาม้ารักอาปาไหม



Mun-Jai Mai Rak - Roungthong Thongluntom



ลองกด play สิครับ ว่าอาม้าตอบญาติๆ และอาปาว่าอย่างไร




เชื่อไหมครับว่าทุกครั้งที่ผมได้ยินเพลงๆ นี้ ผมสามารถนั่งน้ำตารื้นได้เสมอ