Thursday 4 December 2008

หย่อมหญ้ายามฝนตก

อ่านหัวข้ออย่างนี้แล้วบางทีทำให้งง และชวนให้สงสัยว่าทำไมเหรอ หย่อมหญ้ายามฝนตก



พอดีว่าวันนี้ฝนตกน่ะ เดินไปมาก็ต้องระมัดระวังเต็มที่ จิกเท้าตลอดเพื่อไม่ให้มันลื่น เดี๋ยวหน้าจะไปวัดถนนซะ




ก็เลยพาลนึกถึงความทรงจำครั้งในวัยเด็ก




ตอนชั้นประถมศึกษาโรงเรียนผมน่ะมันเป็นพื้นดิน ดังนั้นวันไหนฝนตกเนี่ยะไม่ต้องพูดถึง มันกลายเป็นขี้เลนเลยทีเดียว ดังนั้นเวลาเดิน สิ่งที่เกิดขึ้นง่ายๆ ก็คือการลื่น ก้นจ้ำเบ้า หลายหลังไง ผมประสบเหตุบ่อยมาก



บางเช้าชุดนักเรียนขาวสะอาดมา เจอมั้วนเดียวเละทั้งตัว



แต่เชื่อไหมว่าการเดินจนชำนาญไม่ให้ลื่นก็คือ พยายามมองหาหย่อมหญ่าตามทางนั่นแหละ แล้วก้าวไปตามหย่อมหญ้าพวกนั้น รับรองไม่มีลื่น



ทฤษฎีนี้พิสูจน์แล้วด้วยตนเอง

Saturday 1 November 2008

Grass

ตอนที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ โรงเรียนที่ขึ้นชื่อเรื่องกีฬาฟุตบอล แต่หากได้ผ่านไปตอนนี้ซึ่งไม่แตกต่างจากสมัยก่อนก็คือ สนามฟุตบอลที่ไร้หญ้านั่นเอง



สมัยก่อนนักเรียนทุกคนต้องร่วมกันบริจากซื้อหญ้ามาปูเลยทีเดียว ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าตารางเมตรละเท่าไหร่ละ รู้แต่ว่าเรียนมาหกปี เสียค่าหญ้าไปหลายบาท แต่ในที่สุดแล้วมันก็ไม่เคยเหลือเลย



ก็มันจะเหลือได้ไง พี่แกเล่นเอาน้ำเนาจากคลองผดุงกรุงเกษมมารดนี่นา เหม็นเน่าซะขนาดนั้น

Sunday 5 October 2008

The Butterfly Lovers

เพลงที่ตอนนี้ผมเอามาประกอบสไลด์ของผมตอนนี้ก็คือ เพลงประกอบบทละครตำนานรักพื้นบ้านอมตะอันยิ่งใหญ่หนึ่งในสี่เรื่องของจีนคือเรื่องตำนานรักผีเสื้อ (The Butterfly Lovers) หรือที่เป็นที่รู้จักกันในเรื่องม่านประเพณี (วรรณกรรมสี่เรื่อง ได้แก่ ตำนานรักผีเสื้อ นางพญางูขาว เมิ่งเจียงหนี่ และชายเลี้ยงวัวกับหญิงทอผ้า)


คืนนี้ผมนั่งฟังเพลงม่านประเพณีนี้แล้วผมก็นั่งนึกถึงวันเก่าๆ


เพลงนี้ผมฟังครั้งแรกตอนที่ผมมีโอกาศดูภาพยนต์เรื่องม่านประเพณีที่หยางไฉ่หนี รับบทฉั่วอิงไถ และอู๋ฉีหลง รับบทเหลียงซันปว๋อ แค่ครั้งนั้น ผมก็ต้องเสียน้ำตาให้กับโศกนาฏกรรมแห่งความรักเรื่องนี้ไม่รู้กี่รอบ









วันนี้พอนั่งคิดขึ้นมาแล้วผมก็อยากที่จะเขียนเอาไว้ว่า ผมรักบทประพันธ์เรื่องนี้มากจริงๆ นะ








Chinese opera

When I was young I loved to watch plays and other kind of cultural dramas. Today I want to write my memories about “The Chinese opera”, so-called in Thai “NGIW”.


First of all, I want to tell you that I can not speak Chinese and I do not understand Chinese any more but why I love to see the Chinese opera and how can I understand the stories of those operas?


I was born in the Chinese family, which has moved from China for almost 90 years. When I was young, my house was located near the joss house (so-called Saan Jao in Thai).


Every year there was at least two festivals were set up at the joss house. At the festival, there was provided many kinds of activity, namely, pay respect to the gods, auction, and Chinese opera.


In my memory, I always go to watch the Chinese opera with my aunt, who was also my mother-in-law. Every evening she always comes to my house and takes me to the opera house. She and I always go there with some joss sticks for paying respect to the gods and we never forgot to take some fans with us because the weather was very hot.


At the opera house, she always translates every conversation in the story to me. Moreover, she always gives me other additional details about the story.



Until now, every time that I watch the Chinese opera, she always comes to my memory. And this is one of my memories that always clear when I close my eyes.



Finally, I want to say that..........it's almost 8 years of living without you. “I MISS YOU”…….. my aunt.

Monday 22 September 2008

Study aboard

การเรียนหนังสือในต่างประเทศนั้น เป็นความใฝ่ฝันของผมตั้งแต่เด็ก ถ้าบอกอย่างนี้จะเชื่อไหม?

ตั้งแต่เด็กผมอยากไปเรียนต่างประเทศ ตามความคิดในสมัยนั้นว่ามันคงจะหรูดีนะ หากได้ไปเรียนจบจากต่างประเทศมา จากจุดนี้เองก็เป็นการจุดประกายให้ผมพยายามที่จะศึกษาภาษาอังกฤษให้มากขึ้น เพื่อที่ว่าสักวันหนึ่งในอนาคต สิ่งนี้แหละจะเป็นปัจจัยที่สำคัญในการจะได้ไปเรียนต่อต่างประเทศของผม

ผมลืมความคิดเรื่องการเรียนต่อต่างประเทศไปยาวนานพอควรเกือบ 5-6 ปี กระทั่งเกือบจบปริญญาตรี ผมก็เริ่มมีความคิดเรื่องการเรียนต่อต่างประเทศมากขึ้น ผมพยายามหาข้อมูลการเรียนต่อต่างประเทศจำนวนมาก และที่สำคัญคือหาข้อมูลทุนการศึกษาด้วย เพราะครอบครัวผมก็คงไม่มีเงินมากพอที่จะทำให้ผมคิดอยากทำโน่นนี่ได้ตามใจ

ผมบุกไปสถานทูตของหลายประเทศ เพื่อติดต่อเกี่ยวกับทุนการศึกษา โดยเฉพาะประเทศที่คนมักไม่ค่อยสนใจ เช่น แม็กซิโก เปรู กรีซ รัสเซีย เนเธอร์แลนด์ แต่ก็ไม่ลืมที่จะหาข้อมูลในประเทศที่คนสนใจ ไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ หรืออเมริกา เยอรมนี และฝรั่งเศส ผมเอาหมดแหละ แล้วก็ไม่ลืมประเทศไทยด้วย เอาเข้าจริงผมว่าการหาและทำความเข้าใจข้อมูลเรื่องทุนนี่แหละที่ทำให้ผมมีพัฒนาการด้านภาษามากขึ้นมาโดยไมรู้ตัว

กระทั่งปัจจุบัน ผมกำลังศึกษาต่ออยู่ที่ประเทศสวีเดน ซึ่งเป็นประเทศที่ผมกลับไม่เคยหาข้อมูลเลย ผมมาศึกษาที่ประเทศนี้ในหลักสูตรปริญญาโทกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ในมหาวิทยาลัยลุนด์ ทั้งๆ ที่ผมกลับไม่ค่อยมีข้อมูลของหลักสูตรและมหาวิทยาลัยแห่งนี้อยู่ในหัวเลย

การศึกษาที่ประเทศสวีเดนนั้น ผมไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนก็จริง แต่ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ค่ากินค่าอยู่ต้องจ่ายเองทั้งหมด แต่จนที่สุด ผมมาศึกษาที่นี่โดยได้รับทุนการศึกษาค่ากิน ค่าอยู่ ค่าเดินทางโดยเครื่องบิน ตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ จาก Swedish International Development Cooperation Agency และ Raoul Wallenberg Institute, Faculty of Law, Lund University โดยที่ผมกลับไม่เคยมีข้อมูลของทุนการศึกษานี้มาก่อน แต่ทุนกลับเป็นฝ่ายเลือกผมขึ้นมาเองจากบรรดาผู้ที่เข้าศึกษาที่นี่กว่า 40 คน

ทีนี้ ทุกคนคิดเหมือนผมบ้างไหมครับว่า ชีวิตคนเราโอกาสมันไม่ได้ผ่านเข้ามาบ่อยนะ ถ้ามันผ่านมาก็หยิบฉวยมันไว้เลย แต่ถ้ามันยังไม่ผ่านมา เราก็จงอย่านิ่งนอนใจ เร่งสร้างโอกาสที่จะให้โอกาสดีๆ เหล่านั้นผ่านเข้ามาในชีวิตของเราอยู่เสมอ การเตรียมตัวอยู่เสมอ เพื่อที่ว่าเมื่อสักวันมันผ่านมา เราก็พร้อมที่จะรับโอกาสนั้นได้โดยไม่มีเงื่อนไข นั่นเอง

ดังนั้นผมจึงขอสรุปว่า "การรอให้โอกาสดีๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตนั้น ไม่ใช่การนั่งรอ นอนรอ หากแต่เป็นเฝ้าการรออย่างมีหวัง และการสร้างพลังที่จะไขว่คว้าโอกาสเหล่านั้น เมื่อมันผ่านเข้ามาในชีวิตเราต่างหาก"


Saturday 16 August 2008

การรักของ

การปลูกฝังให้เป็นคนที่รักสิ่งของที่อาม้ามักสอนผมตั้งแต่เด็กก็คือ การพยายามให้เราเห็นถึงคุณค่าของสิ่งของทุกสิ่ง อย่าเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์แล้ว แล้วก็ทิ้งมันไปเสีย


วิธีการสอนให้พวกผม (ผมและพี่ๆ) รักของก็คือ อาม้ามักจะให้พวกเราร่วมเป็นเจ้าของสิ่งของนั้นๆด้วยเสมอ ไม่ว่าของนั้นจะเล็กหรือใหญ่ หรือมีราคาค่างวดเพียงใดก็ตาม ตั้งแต่วิทยุยันรถยนต์เลย เช่น ตอนที่พวกเราอยากได้วิทยุ อาม้าอาปาจะออกเงินส่วนใหญ่ให้ ส่วนพวกเราก็ต้องเอาเงินเก็บของพวกเรามาสมทบด้วย แค่นี้ ของชิ้นนั้นๆ ก็เป็นของที่เราเป็นเจ้าของร่วม เพราะร่วมออกเงินซื้อด้วยแล้ว


แค่นี้มันก็เป็นการปลูกฝังนิสัยการรักของให้กับผมโดยไม่รู้ตัวแล้ว

การเปลี่ยนรถใหม่

วันนี้เป็นวันที่ผมได้ส่งมอบรถคู่ใจผมให้กับเจ้าของใหม่ไปแล้วครับ ต่อไปก็คงเหลือแต่ความทรงจำที่ดีของผมกับรถคันนี้ที่จะอยู่ในใจผมตลอดไป


ผมนั่งรถกลับบ้านพร้อมกับอารมณ์เศร้าอยู่พักใหญ่ใจหายน่ะครับ สักพักอาม้าก็โทรมาถามว่า "ใจหายไหม ตอนให้รถเขาไป"

ก็เลยตอบไปว่า "นิดหน่อย"

อาม้าเลยว่า "ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเรียนกลับมาก็ซื้อใหม่แล้วกันนะ"


ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คิดว่าอาม้าคงเข้าใจความรู้สึกผมเป็นอย่างดี เพราะอาม้าก็เป็นคนที่รักของเช่นกัน


ตลอดระยะเวลาที่นั่งรถกลับผมพยายามทำใจเรื่องนี้อยู่ ความทรงจำก็ผุดขึ้นมาว่า อาปาเคยสอนว่า "การที่เราขายรถน่ะ แน่หละมันใจหายที่ต้องเสียรถของเราไป แต่ให้คิดว่าการเปลี่ยนรถก็เหมือนการเปลี่ยนเสื้อ เมื่อมันเก่ามันขาดเราก็ต้องทิ้ง หรือแปลสภาพมันไป แล้วเอาเสื้อใหม่มาใส่แทน"

ผมจะพยายามคิดเช่นนั้นครับ

Sunday 10 August 2008

อุปัทวเหตุบนท้องถนน

ในชีวิตของผม ประสบอุปัทวเหตุบนท้องถนนมาหลายครั้ง แต่ยังโชคดีที่แต่ละครั้ง ไม่มีการถึงกับเลือดตกยางออก




  • ครั้งนึงตอนผมอยู่ชั้น ป. 5 รถยนต์ที่ผมนั่ง พ่อผมเป็นคนขับประสบอุปัทวเหตุบริเวณถนนสายเอเซีย ก่อนเข้าจังหวัดอยุธยา มีคนเสียชีวิตด้วย แต่ผมไม่เป็นไร

  • ครั้งต่อมาช่วงผมอยู่ ม. 3 ขณะรถบัสที่นั่งเพื่อไปออกค่ายลูกเสือที่ค่ายวชิราวุธ ประสบอุปัทวเหตุ หักหลบตกลงคูข้างทาง พวกผมต้องอยู่นิ่งๆ และค่อยๆย่องมาออกทางท้ายรถ ครั้งนี้ก็ไม่มีใครบาดเจ็บ

  • ครั้งต่อมาตอนจบ ม.6 ขณะที่ผมกับเพื่อนนั่งรถตู้กลับจากหาดใหญ่มาที่ตรัง มีรถขับย้อนศรมา รถตู้หักหลบลงข้างทาง ดีนะที่ไม่พลิกคว่ำ ครั้งนี้ก็โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ

ดังนั้น การขับรถบนท้องถนน เราต้องมีสติ และมีสมาธิจดจ่อกับการขับรถด้วยเสมอ ดังที่พ่อผมสอนนั่นแหละ ว่า "คนขับรถเก่งน่ะ ไม่มีหรอก เพราะว่าไม่ว่าจะเรียกตนว่าเก่งขนาดใหญ่ ถ้าประมาทอุปัทวเหตุก็เกิดขึ้นได้เสมอ"

ป.ล. อาจมีคนสงสัยว่าทำไม่ผมใช้อุปัทวเหตุ ก็เพราะคำที่ถูกต้องของ accident ก็คือ อุปัทวเหตุ ส่วนอุบัติเหตุนั้น ตรงกับภาษาอังกฤษว่า incident ก็เลยอยากเลือกใช้คำนี้ หาได้มีเหตุผลอื่นหรอก

My Altis

เนื่องด้วยเร็วๆ นี้ผมจะเดินทางไปเรียนต่อที่ประเทศสวีเดน เป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องนำรถของผมออกขาย ซึ่งตอนนี้ก็ได้ตกลงขายไปแล้วแหละครับ


รถของผมเป็นรถอัสติส สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน วก 3108 เป็นรถคันแรกในชีวิตที่ผมมีไว้เป็นส่วนตัว รถคันนี้ออกมาเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2001 รวมแล้วรถคันนี้อยู่กับผมมาเกือบ 7 ปีเต็ม ประสบการณ์มากมายที่เกิดขึ้นกับผม พร้อมๆ กับรถคันนี้ที่ผมยังจดจำได้ดี


  • ราวๆ ปี พ.ศ. 2546 (2003) ล้อรถคันนี้ถูกตะปูตำ ยางแบน ขณะที่ผมไปจอดเพื่อทำบุญที่วัดญาณเวศกวัน จังหวัดนครปฐม ทำให้ผมมีชะตาต้องกับวัดนี้ตั้งแต่วันแรกที่ได้มาเยือน และต่อมาผมก็ได้เข้าอุปสมบทที่วัดแห่งนี้ ในปีต่อมา (2004) และพี่ผมก็ได้เข้าอุปสมบทในวัดนี้ในปีถัดมา (2005) โดยมีท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) หรือพระธรรมปิฎก ในขณะนั้นเป็นพระอุปัชฌาย์ และต่อมาท่านเจ้าคุณก็ได้ตั้งนามสกุลให้กับครอบครัวเราว่า "ชยางคกุล"
  • ราวๆ เดือนเมษายน 2548 (2005) ผมขับรถไปยังอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี เพื่อออกค่ายอาสาที่บ้านห้วยน้ำหนัก ขากลับผมกลับขับรถหลง แทนที่จะเดินทางกลับที่ตัวเมืองราชบุรีผมพร้อมอัลติสคันนี้กลับเดินทางมุ่งออกไปยังชายแดนพม่า ผ่านทั้งเขาแล้วเขาเล่าทั้งห้วยแล้วห้วยเล่า จนไม่มีสัญญาณโทรศัพท์จนเสียวสันหลังวาบ กลับตัวแทบไม่ทัน กลับรถแทบหลังหักก็อีตอนเห็นป้ายชายแดนไทย-พม่า
  • หลายครั้งที่ผมห้อรถอัลติสไปพักผ่อนทั้งหัวหิน ชะอำ พัทยา ระยอง นครราชสีมา นครปฐม เพื่อชาร์ตแบตเตอร์รี่ ครั้งนึงราวๆ ปี 2545 (2002) ห้อเร็วเสียจนโดนจับความเร็วที่เส้นทางชลบุรี-พัทยา และไม่นับการโดนจับเพราะขับรถผิดกฎจราจรอีกหลายครั้ง เช่น ที่หน้าห้างเซ็นทรัล ลาดพร้าว ที่แยกถนนสุรวงศ์

เพราะรถคันนี้ที่ทำให้ผมมีความสะดวกสบายในการเดินทางมาเกือบ 7 ปี ทั้งการทำงานและพักผ่อน

แม้ว่าที่จริงแล้วผมไม่เคยคิดอยากจะขายรถคันนี้เลย แต่ถ้าเก็บไว้แล้วไม่ได้ใช้ ผลเสียที่ตามมาคงจะมีมากกว่าจริงๆ ต่อไปก็คงขอเก็บความทรงจำที่ดีของรถอัสติสคันนี้ไว้กับตัวเองตลอดไป

Thursday 7 August 2008

ทัศนคติที่ดี ตอนที่ 3 (ตอนสุดท้าย)

ประการที่ 4 การมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์

การมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นทัศนคติที่มองว่าคนเราควรมีอิสระ เสรีภาพทางด้านความคิด ไม่จำเป็นต้องเดินตามกรอบที่ตีไว้หากแต่บ่อยครั้งที่เราพบว่าผู้คนมักกล่าวอ้างว่าเป็นการคิดนอกกรอบ แต่ที่จริงแล้ว การคิดนอกกรอบตามนัยที่แท้แล้วอาจมิใช่เพียงการใช้เสรีภาพทางการคิดให้แตกต่างออกไปโดยไม่พิจารณาถึงเหตุที่กรอบนั้นถูกตีขึ้นมาทำให้ความคิดที่เกิดขึ้นนั้นแตกต่างหรือสวนกระแสกับกรอบดังกล่าวไปโดยสิ้นเชิงที่อาจเรียกว่า ขบถทางความคิด หากแต่ที่จริงแล้วการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ต้องเป็นการใช้อิสระ เสรีภาพทางด้านความคิดที่มีพื้นฐานอยู่ที่ความรู้ ความเข้าใจตามสภาพความเป็นจริงที่ปรากฎ โดยไม่ลืมที่จะพิจารณากรอบที่ถูกขีดขึ้นมานั้นด้วย


ประการที่ 5 การประเมินและความคาดหวังต่อศักยภาพของคนอื่น

ความคาดหวังต่อศักยภาพของตนเอง เป็นทัศนคติที่มีฐานมาจากการประเมินถึงศักยภาพของตนเองโดยมีพื้นฐานถึงความเข้าใจ หรือรู้ถึงศักยภาพที่แท้จริงของตนเองหากเราสามารถประเมินศักยภาพของตนเองว่ามีเพียงพอแล้ว ก็ต้องไม่ลืมในการพัฒนาศักยภาพของเราให้สูงขึ้น หรือแม้ว่าเราประเมินได้ว่าศักยภาพของเราไม่เพียงพอ ก็ต้องพยายามในการพัฒนาศักยภาพของเราให้สูงขึ้นเช่นกัน แต่บ่อยครั้งคนเราหาได้ทำเช่นนั้นไม่ หากแต่เมื่อประเมินศักยภาพของตนเองแล้ว แทนที่จะมีการพัฒนาตนเอง กลับไปประเมินศักยภาพของคนอื่น โดยมุ่งหวังที่จะอาศัยศักยภาพของคนอื่นในการเข้ามาจัดการงานของตน ซึ่งเป็นการที่เรานำเอาความสำเร็จของงานไปขึ้นอยู่กับคนอื่น การมีทัศนคติต่อศักยภาพของคนอื่นที่ถูกต้อง จึงควรเป็นไปในแนวทางที่เราจะต้องพัฒนาศักยภาพของตนเองให้สูงพอที่จะทำการของตนให้ลุล่วง จนอาจเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ด้วย หรือไม่ก็เป็นกรณีที่ตนเองมีศักยภาพ แต่กลับผลักภาระให้ความสำเร็จของงานไปขึ้นกับศักยภาพของบุคคลอื่น โดยลืมไปว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการทำให้บุคคลอื่นพัฒนาศักยภาพมากขึ้นในขณะที่ตนเองกลับถูกทิ้งให้เดินตาหลังผู้อื่นแต่อย่างเดียว


ประการที่ 6 ทัศนคติด้านตรรกะ ในการแก้ปัญหา

ทัศนคติด้านตรรกะในการแก้ปัญหา เป็นทัศนคติซึ่งคนส่วนใหญ่มี และใช้อยู่ตลอดเวลาทุกครั้งที่มีปัญหาเข้ามาในชีวิต โดยตรรกะในการทัศนคติที่ดีในการแก้ปัญหาในที่นี้ คือ การที่เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นแล้วเราสามารถแก้ได้เพียงใด การสาวหาเหตุปัจจัยที่เป็นที่มาของปัญหา บ่อยครั้งที่คนเรามักมองสาเหตุแห่งปัญหาผิดจุด คือ การมองสาเหตุของปัญหาจากจุดไกลมายังจุดใกล้ มองจากภายนอกเข้ามาภายใน ซึ่งที่จริงแล้วการหาเหตุแห่งปัญหาที่ง่ายและเป็นแนวคิดที่ดี ควรเริ่มจากการมองดูที่ตัวเองก่อนว่าเป็นส่วนหนึ่งในการก่อให้เกิดปัญหานั้นขึ้นหรือไม่ แทนที่พยามหาว่าอะไร หรือใครเป็นสาเหตุแห่งปัญหานั้น อีกทั้งในบางครั้งเมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าตนเองเป็นสาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาหรือ ความผิดพลาดนั้นๆขึ้น แต่ก็กลับไม่ยอมรับความจริง ว่าตนผิดพลาดและควรเร่งพัฒนาศักยภาพของตน แต่กลับครุ่นคิดวกวนความผิดพลาดนั้นจนท้อแท้ และไม่เดินต่อไปยังจุดหมายที่ตั้งใจ


ทัศนคติดังกล่าวข้างต้น ทั้ง 6 ประการ ถือได้ว่าเป็นตัวอย่างของทัศนคติที่ดี หรือแนวคิดเชิงบวกพื้นฐานต่อตนเอง และต่อสังคมรอบข้างที่อย่างน้อยทุกคนควรต้องมีและต้องพร้อมที่จะพัฒนาตนเองให้มีทัศนคติที่ดีด้านอื่นๆ ให้มีมากขึ้นตามลำดับต่อไป

ทัศนคติที่ดี ตอนที่ 2

ทัศนคติหรือแนวความคิดเห็นในทั้งสามด้านนี้ อาจปรากฎออกมาในรูปแบบต่างๆโดยการผสานกันอยู่อย่างแยกออกจากกันแทบไม่ได้ หรืออาจอยู่แยกเป็นเอกเทศ จากกันเลยก็ได้ ในบางกรณี


แต่หากเราจะพิจารณากันให้ดีแล้วทัศนคติทั้งสามด้านของคนเรานั้น อาจแบ่งแยกโดยเอาตัวเราเป็นที่ตั้งได้อยู่ 2 ประการเท่านั้น คือ ทัศนคติต่อตนเอง และ ทัศนคติต่อคนอื่น สิ่งอื่นรอบข้าง ซึ่งทัศนคติทั้ง 2 ประการดังกล่าวของคนเรานั้นเป็นตัวขับเคลื่อนที่ก่อให้เกิดกระบวนการคิด การกระทำต่างๆตามมา ทั้งด้านที่ดีและไม่ดี ดังนั้นการที่เราจะสามารถดำเนินกิจกรรมใดๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดนั้นส่วนสำคัญประการหนึ่งก็คือ ทัศนคติของตัวเราเอง นั่นเอง ที่เป็นปัจจัยที่มีบทบาทสำคัญประการหนึ่ง ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า การมีทัศนคติที่ดี ก็เป็นปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดความสำเร็จในทางที่ดีเช่นกัน แต่การที่เรามีทัศนคติที่ดี หรือมีการพัฒนาไปสู่การมีทัศนคติที่ดีนั้น จะดำเนินไปอย่างไรเป็นอีกประการหนึ่งที่ทุกคนควรต้องมาพิจารณากัน ทัศนคติที่ดี หรือการคิดเชิงบวก (Positive Thinking) ทั้งในด้านตนเอง และในด้านบุคคลอื่นที่สำคัญนั้นมีอยู่หลายประการดังนี้


ประการที่1 การมีความเชื่อมั่นในตัวเอง

การมีความเชื่อมั่นในตัวเอง เป็นทัศนคติด้านบวกต่อตนเองว่า ตนเองมีศักยภาพในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ มากน้อยเพียงใด การมีความเชื่อมั่นในตัวเอง เป็นกรณีที่เราทุกคนควรมั่นใจว่าเรามีศักยภาพเพียงพอในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย แต่ในความเป็นจริงคนเราทุกคนไม่สามารถที่จะรู้และเข้าใจดีในทุกเรื่อง แต่ถึงแม้ว่าสิ่งที่ได้รับมอบหมายให้ทำนั้นตนเองไม่มีความสามารถเฉพาะด้านนั้นเพียงพอ ก็ต้องมีควาเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถฝึกฝน จนสามารถทำงานนั้นได้ดังนั้น ความเชื่อมั่นในตนเองในที่นี้จึงเป็นความเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง และอีกทางหนึ่งก็คือ การเชื่อมั่นในการพัฒนาศักยภาพของตนเองด้วย


ประการที่ 2 การประเมินศักยภาพตัวเอง

การประเมินศักยภาพตัวเอง เป็นทัศนคติต่อตนเองในความคาดหวังถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการทำงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยความคาดหวังในที่นี้ต้องเป็นความคาดหวังที่มีพื้นฐานบนความรู้และความเข้าใจถึงศักยภาพที่แท้จริงของตนเอง บางครั้งผู้คนอาจคาดหวังถึงผลลัพธ์ที่สูงโดยขาดการพิจารณาถึงพื้นฐานของความเป็นจริง ทำให้เกิดความผิดหวังขึ้นได้ แต่ในทางกลับกันการคาดหวังต่ำโดยไม่พิจารณาถึงพื้นฐานของความเป็นจริง ไม่ว่าเกิดจากการขาดความเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง การประเมินคุณค่าถึงศักยภาพของตนที่ต่ำ หรืออาจเกิดจากการที่ไม่อยากเผชิญกับความผิดหวัง ก็อาจทำให้ขาดแรงผลักดันที่จะทำงานนั้นให้เสร็จ และอาจทำให้ผลงานที่ออกมานั้นไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ดังนั้นทุกคนควรตระหนักไว้เสมอว่าคนเรามีศักยภาพในการพัฒนาตนเองเสมอ


ประการที่ 3 การยอมรับตนเอง และการให้เกียรติตัวเอง

การให้เกียรติตัวเอง หรือการยอมรับตัวเอง เป็นทัศนคติต่อตัวเองที่มีพื้นฐานร่วมมากับการมีความเชื่อมั่นในตนเอง และการประเมินศักยภาพของตนเอง คือคนเราเมื่อมีความเชื่อมั่นในตนเอง และสามารถประเมินศักยภาพของตนเองได้ ก็ต้องยอมรับผลที่ออกมาให้ได้ ไม่ว่าผลลัพธ์นั้นจะเป็นที่พอใจหรือไม่ก็ตาม เพราะอย่างไรก็ดีแม้ว่าผลที่ออกมาจะดี เราก็ไม่ควรยึดติดหรือหยุดอยู่กับที่ เพราะคนเราพัฒนากันได้ตลอดเวลา การหยุดอยู่กับที่ในขณะที่คนอื่นเดินไปข้างหน้านั้น ก็ไม่ต่างจากกับการเดินถอยหลัง แต่หากผลลัพธ์ที่ออกมาไม่น่าพอใจ เราก็ไม่ควรดูถูกตัวเอง หากแต่ต้องให้เกียรติตัวเอง และพร้อมที่จะพัฒนาตนต่อไปให้มีศักยภาพให้สูงขึ้น

ทัศนคติที่ดี ตอนที่ 1

ความทรงจำต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่ผมขีดเขียนขึ้นเพื่อให้นักศึกษาได้อ่านครับ ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2548 ผมเลยอยากจดจำเรื่องราวนี้ไว้เพื่อเตือนตัวเองครับ หวังว่ามันอาจช่วยเตือนคนที่อ่านทุกคนได้บ้างนะครับ (อาจมีหลายตอนไปหน่อยก็ ค่อยๆ อ่านนะครับ)


บ่อยครั้งที่เราได้ยินผู้คนมักพูดว่ามีทัศนคติที่ดี หากมีใครกล่าวเช่นนี้ว่าเรามีทัศนคติที่ดี ประการแรกที่สามารถรู้สึกได้คือ เราได้รับคำชมเชยมากกว่าที่จะถูกตำหนิ การมีทัศนคติที่ดี โดยนัยของมันเองก็คงเป็นคนละด้านกับการมีทัศนคติที่แย่ หรือมีทัศนคติที่ไม่ดี ในการที่เราจะทำความเข้าใจ กับการมีทัศนคติที่ดี ซึ่งโดยลักษณะของตัวมันเอง เป็นนามธรรมที่จับต้องได้ยาก และอาจจะหาคำนิยามที่สามารถสรุปความหมายทุกนัยของการมีทัศนคติที่ดีได้


ดังนั้นในเบื้องต้นเราคงต้องมาพิจารณาถึงนิยามของคำว่า ทัศนคติ ว่าคืออะไร ส่วนที่ว่าทัศนคติที่ดีเป็นเช่นใดนั้น ค่อยพิจารณาในลำดับต่อไป


ในขั้นแรกของการทำความเข้าใจถึงทัศนคติที่ดีนั้น เราคงต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ทัศนคติคืออะไร ทัศนคติ เป็นคำสนธิระหว่าง ทัศน,ทัศน์ หรือ ทัสสนะ ซึ่งหมายความว่า ความเห็น ความเห็นด้วยปัญญา ส่วนคติ หมายความว่า แนวทาง


ดังนั้นคำว่า ทัศนคติ จึงน่าจะรวมความได้ว่า คือ แนวความคิดเห็นที่ประกอบด้วยปัญญาเป็นที่ตั้ง เป็นความคิดเห็นซึ่งมีพื้นมาจากปัญญา กล่าวคือ ใช้ปัญญาในการพิจารณาการเห็นนั้นเมื่อเราทราบว่า ทัศนคติ คือ แนวความคิดเห็น


หากจะพิจารณาดูให้ถี่ถ้วนแล้ว มนุษย์ทุกคนล้วนแต่ต้องมีทัศนคติ ตลอดเวลา ก่อนอื่นที่ต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า ทัศนคติที่เรามีนั้นในที่นี้ ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะสิ่งที่เราเรียกว่า ความเห็น หรือความคิดเห็นเท่านั้น หากแต่ความเห็น หรือความคิดเห็นตามที่เข้าใจในความหมายทั่วไปนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความเห็นซึ่งเิกิดขึ้นแล้ว ผ่านกระบวนการแสดงออกมาให้ผู้อื่นรับรู้ ว่าเราเห็นอย่างไร ไม่ว่าจะโดยผ่านกระบวนการของการพูด (วาจา) เขียน (ลายลักษณ์อักษร) หรือโดยอากัปกริยาอื่นใดเท่านั้น หากแต่การเห็นในที่นี้หมายถึง ไปทั้งกระบวนการคิดโดยไม่พิจารณาว่าสิ่งที่คิดนั้นจะได้แสดงออกมาภายนอก และ หรือมีผู้ใดรับรู้ถึงความเห็นดังกล่าว หรือไม่ ดังนั้น ความเห็นจึงเป็นเพียงผลพวงที่ออกมาจากการคิดเท่านั้น


ทีนี้เมื่อเราเข้าใจกันแล้วว่า ทัศนคติที่ดี คือ แนวความคิดเห็นที่ดี คือ แนวความคิดเห็นที่ดี ต่อมาจึงพิจารณากันต่อไปว่า แล้วทัศนคติของมนุษย์ที่ว่าทุกคนมีอยู่ตลอดเวลา โดยอาจแยกสิ่งที่มนุษย์มีทัศนคติออกได้ 3 ด้านดังนี้


ด้านที่1 มนุษย์ทุกคนมีัทัศนคติต่อบุคลิกภาพและการดำเนินไปของสังคม ทั้งตนเองและบุคคลอื่นเสมอ ทุกคนมีทัศนคติในการดำเนินชีวิต ทุกช่วงและทุกขั้นตอนของการดำเนินชีวิตของตน เช่น การเดิน การวิ่ง การโดยสารรถ การนอน การกิน การเสพบริโภควัตถุ


ด้านที่2 มนุษย์มีทัศนคติต่อการพิจารณา และควบคุมอารมณ์ ความรู้สึกของตนเอง ทั้งโดยเหตุปัจจัยที่มาจากตนเอง และสังคมรอบข้างเสมอเช่น การโมโห การโกรธ ดีใจ เสียใจ ทุกข์ระทมใจ ปีติ ปราโมทย์ ทุกข์ใจ เหนื่อยใจ


ด้านที่3 มนุษย์มีทัศนคติต่อการคิดเห็น แสดงความคิดโดยผ่านกระบวนการคิดอย่างแยบคาย ทั้งในเรื่องของตนเอง และ เรื่องของสังคมรอบข้าง เช่น การแก้ปัญหา การแสดงความคิดเหตุ การคิดหาเหตุผล การตัดสินใจ การยอมแพ้ การปล่อยวาง


ทัศนคติหรือแนวความคิดเห็นในทั้งสามด้านนี้ อาจปรากฎออกมาในรูปแบบต่างๆโดยการผสานกันอยู่อย่างแยกออกจากกันแทบไม่ได้ หรืออาจอยู่แยกเป็นเอกเทศ จากกันเลยก็ได้ ในบางกรณี

คิดถึงบ้าน

ถ้าจะพูดกันถึงเรื่องของการ "คิดถึงบ้าน" หรือโฮมซิค ที่หลายคนเคยเจอดดยตรง เมื่อต้องห่างไปจากบ้านที่เคยอยู่ ว่าการคิดถึงบ้านคืออะไร และเราจะรับมือกับมันอย่างไร


ผมกำลังจะเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศสวีเดน เป็นเวลา 2 ปี


ผมเคยถามตัวเองหลายครั้งว่าผมจะเกิดอาการคิดถึงบ้านไหม คำตอบผมตอบไม่ได้ว่าจะคิดถึงบ้านหรือปล่าว แต่ผมตอบได้แน่นอนว่าผมคงคิดถึงทุกคนที่บ้าน หมาของผม มากกว่าบ้านของผม


ผมคิดว่าการคิดถึงบ้านในที่นี้ น่าจะหมายถึงการคิดถึง หรือโหยหาความรัก ความห่วงหา อาทรของคนที่เรารัก และคนที่รักเรา รวมไปถึงสัตว์เลี้ยงด้วยมากกว่า จากการที่เราได้รับโดยตรงจากทุกคนที่รักเรา แต่เราต้องห่างจากสิ่งเหล่านี้ไปโดยระยะทาง ย่อมคิดถึงหรืออยากได้รับสิ่งเหล่านี้อย่างแน่นอน


ดังนั้นเมื่อมีคนบอกผมว่า "เนี่ยะไปอยู่เมืองนอกแล้วจะรู้สึก ต้องคงคิดถึงบ้านแน่ๆ" ในใจผมก็เห็นด้วยครับ แต่ทำอย่างไรได้ คนเราทุกคนต้องจากกันทุกวันอยู่แล้ว เผลอๆ พรุ่งนี้เช้าขึ้นมาผมเกิดขี้เกียจไม่ยอมลุกขึ้นมาอีกดื้อๆ ก็จากกันเช่นกันโดยที่ยังไม่ได้ไปสวีเดนเลย


ดังนั้น คนเราน่ะต้องจากกันอยู่แล้ว หากแต่เพียงจะจากเป็นหรือจากตายเท่านั้น


มาถึงคำถามว่า แล้วเราจะรักษาอาการคิดถึงบ้านนี้อย่างไรล่ะ ผมตอบได้เลยนะครับว่าสิ่งที่จะรักษาความรู้สึกนี้ได้ก็มีอยู่สองอย่าง คือ ยอมรับ และปรับตัว


การยอมรับ คือเราต้องยอมรับการจากที่เกิดขึ้นนั้น ว่าคนเราทุกคนต้องจากสิ่งที่รัก สิ่งที่ชอบเสมอ แต่พึงระลึกไว้เสมอว่า การจากนั้นหาใช่ทำให้เราสูญเสียความรัก ความชอบนั้นไป เสียเมื่อไหร่ ความรัก ความชอบ ความเอาใจใส่ ความห่วงหาอาทร ความหวังดี เหล่านี้ยังคงอยู่เสมอไป ไม่ได้หายไปเพราะการจากกันโดยระยะทาง


การปรับตัว ตามความคิดผมก็คือ การจากนั้นทำให้เราต้องไปผจญหรือทำความคุ้นเคยกับสิ่งที่เราไม่เคยพบ ไม่เคยรู้ เพราะคนเราทุกคนชอบที่จะทำในสิ่งที่คุ้น พูดคุยกับคนที่คุ้นเคย เราทำกิจวัตรทุกอย่างเป็นประจำจนคุ้นเคย เมื่อสถานที่เปลี่ยน เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน ความไม่คุ้นเคยเข้ามาแทนที่ การโหยหาถึงสิ่งที่คุ้นเคยเลยบังเกิด ดังนั้น เราจึงต้องจำเป็นสร้างความคุ้นเคยกับสิ่งใหม่ สร้างและปฏิบัติกิจวัตรใหม่ จนเคยชิน เราก็จะไม่เกิดความแปลกแยกอีกต่อไป


ดังนั้น คงพอจะตอบได้ว่า เมื่อมีพบก็ต้องมีพราก เมื่อมีจากก็ต้องมีเจอครับ

Saturday 2 August 2008

Night Life

ชีวิตคนเรานั้นย่อมมีทั้งด้านที่เป็นมุมมืดและมุมสว่าง


ในชีวิตผมก็เช่นกันผมได้เรียนรู้ชีวิตคนทั้งด้านที่เป็นมุมสว่างและมุมมืด


การเติบโตขึ้นมาในเมือง อยู่ใจกลางเมืองหลวงทำให้ผมได้รู้จักชีวิตในด้านสว่างและด้านมืดของคนมากมาย โนเฉพาะในช่วงเวลาที่ผมมีและใช้ชีวิตในยามกลางคืนอย่างคุ้มค่าเป็นเวลากว่า 4 ปี ผมได้ไปผับ และสถานบันเทิงมากมายในสมัยนั้น


  • ยุคดอกตูม ผมรู้จักชีวิตกลางคืนครั้งแรกจากการการไปเที่ยวผับดังเมื่อสมัยปี 2537 ชื่อว่า The Capital อยู่แถวรัชดา หลังงานอำลาอาลัย เมื่อตอนจบมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ ในสมัยนั้น Capital เป็นผับที่มี live band มาบรรเลงสด ผมไปครั้งแรกนั้นมีการแสดงคอนเสิร์ตของหนุ่ย อำพล ลำพูน ในอัลบั้มชุด ม้าเหล็ก

  • ยุคแรกแย้ม ที่ผมมักแวะเวียนไปเสมอๆ เริ่มต้นเมื่อผมเข้าศึกษาต่อที่คณะนิติศาสตร์ มธ. แรกเริ่มตั้งแต่ปี 1 Sharky และ Taurus ที่ตีคู่กันมา เป็นแหล่งอโคจร ของวัยรุ่นในสมัยนั้น

  • ยุคเบ่งบาน คือเมื่อผมขึ้นชั้นปีที่ 2 ต่อเนื่อง ปีที่ 3 เป็นยุคเฟื่องฟูของผับสำหรับวัยรุ่น ไม่ว่าจะเป็นแหล่งใหญ่ๆ อย่างสีสมซอยสี่ พัฒน์พงษ์ สุริวงศ์ ลานเบียร์ทุกที่ หรือสุทธิสาร หรือแหล่งเที่ยวของวัยรุ่นแห่งใหม่อย่าง RCA หรือ Royal City Avenue กลายเป็นสถานที่กบดานยามค่ำคืนของผมเสียรำไป

  • ยุคโรยรา ด้วยเหตุแห่งการรู้ว่า พอแล้ว ผมจึงตัดสินใจที่จะหักดิบ การดื่ม การเที่ยว และชีวิตยามค่ำคืน โดยการตัดสินใจชั่วขณะ แต่ส่งผลในทางที่ดีแก่ชีวิตผม กระทั่งปัจจุบัน

กว่าสิบปีที่ผ่านมา ชีวิตของผมไม่ค่อยจะได้วนเวียนไปบรรจบกับถนนสายนี้สักเท่าไหร่ แต่ก็มีบางครั้งที่วนเวียนไปบ้าง ทั้ง Link 71 รัชดาซอยสี่ ระแวงเลียบทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ หรือผับแถวๆ รัชดา แต่ก็แค่การผ่านเข้าไป แล้วก็ต้องมาอย่างมีสติ รับรู้เท่านั้น

กระทั่งวันนี้ ผมก็ภูมิใจการการตัดสินใจหักดิบชีวิตกลางคืนในคืนนั้นของผมเสมอ เรื่อยมา

Friday 1 August 2008

First Trip

สิ่งที่วันนี้ผมอยากเขียนก็คือ การท่องเที่ยว


จากที่ผมเคยบอกไว้นะครับว่า ด้วยเหตุที่ผมโตขึ้นมาโดยการอาศัยการดูแลระหว่างพี่ๆ น้องๆ ที่มาเรียนด้วยกันที่กรุงเทพฯ แต่อย่างไรก็ดี หลายคนอาจคิดว่าผมคงมีอิสระในการดำเนินชีวิต เพราะว่าไม่มีผู้ใหญ่มาควบคุม


แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นหรอกครับ ตลอดเวลาที่ผมเดินทางมาศึกษาที่กรุงเทพฯ นั้น อาปากับอาม้า ไม่เคยปล่อยให้ผมเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ เลย


สมัยที่เรียนมัธยม ที่เทพศิริทร์ ทุกภาคฤดูร้อนตอนปิดเทอมใหญ่ เพื่อนๆ มักชวนกันไปเที่ยวต่างจังหวัด แต่ผมไม่เคยได้ไปกับเขาหรอก เพราะผมต้องกลับบ้านไปช่วยเฝ้าร้าน ทำให้ไม่มีโอกาสไปเที่ยวกับเพื่อนๆ และอาปาอาม้าก็ไม่ค่อยปล่อยผมไปเที่ยวลำพังกับเพื่อนๆ หรอก เพราะว่าผมยังเด็กเกินไป


การเที่ยวกับเพื่อนๆ ครั้งแรกของผมคือ กรเดินทางลงใต้ หลังจากจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เพื่อเดินทางไปยังที่เกาะไหง จังหวัดตรัง และหาดใหญ่ เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2537 ถึง วันที่ 3 พฤษภาคม 2537


และหลังจากผมจบมัธยม อาปา อาม้าก็ให้อิสระในการเดินทางแก่ผมอย่างเต็มที่ แต่ท่านทั้งสองก็ยังคงห่วงผมอยู่ตลอดเวลานั่นเอง


ที่แหละครับที่เขาว่ากันว่า "ไม่ว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่ อายุมากสักเท่าใด แต่เราก็ยังคงเป็นเด็กในสายตาของพ่อแม่เราเสมอ"

Monday 21 July 2008

ฤดูน้ำหลาก

หมดจากฤดูฝน ที่บ้านผมก็เข้าฤดูน้ำหลาก น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยราวๆ เดือนกันยายนของทุกปี แล้วก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ


ด้วยเหตุที่อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทองนั้น เป็นอำเภออกแตก หมายความว่าที่อำเภอนี้มีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่ากลางอำเภอ อีกทั้งตลาดป่าโมกก็มีลักษณะเป็นแอ่งกระทะ ดังนั้น ตั้งแต่เด็ก อย่างน้อยทุกสองปี ที่บ้านผมจะต้องเผชิญกับอุทกภัย หรือน้ำท่วมเป็นประจำ


ตั้งแต่เด็ก ผมชอบมากเวลาน้ำท่วม ตามวิสัยของเด็ก เพราะผมจะได้เล่นน้ำ ได้ตกปลาที่หน้าบ้าน หรือใกล้ๆบ้านนั่นแหละ ตั้งแต่เด็กผมจึงเรียนรู้เรื่องราวมากมายจากน้ำที่ท่วมที่ตลาดป่าโมก


  • การเดินทางไปไหนยามน้ำท่วม เรือกลายเป็นพาหนะที่สำคัญ ผมต้องฝึกพายเรือตั้งแต่เด็ก ดังนั้นการพายเรือสำหรับผมมันหมูๆ ไม่ว่าจะเป็นการพาย งัด ถ่อ แจว โอ๊ยอย่าให้เซด หรือจะเรืออีป๊าบ อีโปง เรือเข็ม เรือขุด แต่การเดินทางโดยเรือมันอาศัยเวลาเป็นอย่างมาก จำได้ว่าประมาณปี 2537 น้ำท่วมใหญ่ ผมต้องพายเรือไปซื้อน้ำตาลทรายสักกิโล ถ้าปกติขี่รถมอเตอร์ไซด์ ก็ ไม่เกิน 10 นาที แต่วันนั้นผมพายเรือไปกลับเกือบชั่วโมง

  • พาย ถือเป็นอุปกรณ์สำคัญในการดำรงชีวิต เชื่อไหมว่าผู้คนห่วงพายมากกว่าเรือเสียอีก เพราะพายคู่ใจที่ดีก็เสมือนการมีอาวุธคู่กายที่ดี ดังนั้นเวลาผู้คนเดินทางไปไหน พอจอดเรือได้ที่ ก็เดินถือพายมาช็อปปิ้งซื้อข้าวของกันให้ควั่ก

  • ใครจะนึกว่าการตกปลาที่หน้าบ้านในยามน้ำท่วมนั้น มันท่าจะง่าย ไม่หรอกครับ ไม่ง่าย เพราะจากประสบการณ์ผมเรียนรู้ว่า เมื่อน้ำมาปลาจะไม่มี เราต้องรอให้น้ำขึ้นและคงตัว คือไม่ขึ้นไม่ลง ไม่ไหลแรง ยามนั้นย่อมได้เวลาลงเบ็ดแล้ว แล้วปลาอะไรที่มักจะได้ ส่วนมากก็เป็นปลาซิว ปลากระแหทอง ปลาสังกะวาส ปลาหมอ ปลาสลิด แต่เชื่อไหมในชีวิตผมเคยตกได้ปลาทองอ่ะ

  • การจับปลาจำนวนมากโดยเฉพาะปลาซิว ซึ่งมีตัวเล็กนั้น หากเราจะนั่งตกทีละตัวละก็ยากส์ ดังนั้นวิธีที่จะได้ปลาซิวเยอะๆในคราวเดียว ก็คือ การเอากระด้งตะล่อม ๆไปช้อนปลาซิวที่มาเล่นแสงไปตามทางนั่งเอง ช้อนทีเดียวก็ได้เป็นสิบตัวแล้ว

  • การอาบน้ำ ก็ใช้น้ำที่ท่วมนั่นแหละอาบ แต่ใครจะรู้ว่าการนั่งอาบน้ำที่หน้าบ้านของตัวเอง หาได้สามารถทำได้ทุกเวลาที่อยากนะ เพราะเวลาที่สามารถอาบได้คือหกโมงเย็น จากนั้นก็ต้องรอให้พ้นสามทุ่มไปแล้ว เพราะอะไรนั่นเหรอ ก็เพราะว่าเวลา หกโมงเย็นถึงสามทุ่ม ทุกบ้านเขาจะล้างจานนะสิ ฟองนี้ฟอด ลอยฟ่องมาเลย แล้วใครจะกล้าสระผมล่ะ

  • พูดถึงระดับน้ำแล้ว ในชีวิตผมน้ำที่ท่วมสูงสุดที่ผมเจอก็คือน้ำท่วมในปี 2537 เพราะปีนั้นที่บ้านผมน้ำท่วมสูง 2.10 เมตรทีเดียว ดังนั้นหากใครไปบ้านผมตอนนี้ แล้วสงสัยว่า ทำไมมุมบ้านผมด้านบนมันถึงบิ่นเป็นรอยเต็มไปหมด ก็ขอบอกว่าไอ้รอยเหล่านั้น มันคือรอยเรือชน


ตราบเท่าทุกวันนี้ ตลาดป่าโมกก็ยังคงเผชิญชะตากรรมดังกล่าวอยู่ทุกปี

Saturday 19 July 2008

Friends

เพื่อนเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่เป็นคนดีมีคุณค่าแก่สังคมและประเทศชาติ


หากเราจะนั่งคิดถึงเรื่องราวในสมัยเด็ก และถ้าทุกคนเกิดขึ้นมาในยุดเดียวกับผม ทุกคนต้องนึงถึงสิ่งที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้อย่างแน้แท้


ตั้งแต่เด็กเพื่อนๆของผมที่ผมรู้จักและเจริญเติบโตขึ้นมาพร้อมกับผมคงไม่อาจไม่กล่าวถึง มานี ชูใจ ปิติ วีระ เจ้าจ๋อ เจ้าโต สีเทาและเจ้าแก่


ที่ผมมาเขียนความทรงจำในวัยเด็กครั้งนี้ก็เพื่อจดจำเพื่อนๆเหล่านี้ของผม ที่ครั้งนึงเคยเจอกันทุกวัน


น่าเสียดายที่เด็กในบุคหลังกลับไม่เคยพบ หรือเจอตัวละครที่เคยโลดแล่นเป็นเพื่อนกับพ่อแม่ ลุงป้า น้าอา มาเป็นเวลายาวนาน

Monday 14 July 2008

Punishment

รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี เป็นสำนวนไทยแต่โบราณที่ยึดถือใช้กันมาในสังคมไทย ไม่เฉพาะกับในครอบครัวเท่านั้น แต่ค่านิยมนี้มันยังแผ่กระสานซ่านเซ็น ไปยังในสถาบันการศึกษาอีกด้วย


ในชีวิตผมการถูกลงโทษในสถาบันการศึกษาเป็นอีกหนึ่งความทรงจำที่ผมไม่เคยลืมเลยโดยเฉพาะการถูกลงโทษโดยการตีด้วยไม้เรียวในวิชาภาษาอังกฤษตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เป็นต้นมา


ชีวิตการถูกตีในรายวิชาภาษาอังกฤษของผม เริ่มต้นจากการที่ผมตัดสินใจเข้ามาศึกษาต่อในกรุงเทพฯ เมื่อตอนอยู่ชั้น ป.5 เนื่องจากการเป็นเด็กต่างจังหวัด ดังนั้นโอกาสในการศึกษาย่อมลดหลั่นกันไปตามระยะห่างจากเมืองหลวงของประเทศ ในสมัยนั้นเด็กต่างจังหวัดจะเริ่มได้เรียนภาษาอังกฤษก็เมื่ออยู่ชั้น ป.5 เป็นปีแรก ก็คือรายวิชา "English is Fun" แต่ผมดันตัดสินใจมาเรียนกรุงเทพฯตอน ป.5 ดังนั้นหายนะจึงมาเยือนแล้ว........................


ที่โรงเรียนนักเรียนที่ผมมาเข้าเรียน นักเรียนส่วนใหญ่จะเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ชั้นอนุบาล มาถึงป.5 ไม่ต้องพูดเลยเรื่องการท่อง A ถึง Z หรือการเขียนตัวพิมพ์เล็ก (abcdef...) หรือตัวพิมพ์ใหญ่ (ABCDEFG...) แต่โผล่เข้ามาชาวบ้านเขาก็เขียนตัวเขียนกันแล้ว อย่าว่ากันเลย ในชีวิตตอนนั้นยังไม่รู้จักตัวเขียนเลยด้วยซ้ำว่าเขาเขียนกันยังไง แค่นี้ก็เข้าองค์ประกอบแล้วครับ


ทุกชั่วโมงภาษาอังกฤษ นักเรียนที่ตอบผิดหรือทำไม่ได้จะต้องถูกตีตีตีตีตีตีๆๆๆๆๆๆ อย่างเดียว แล้วการตีแต่ละครั้งจะถูกบันทึกลงใน"สมุดแจ้งโทษ" (ซึ่งจนบัดนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าการไม่รู้ภาษาอังกฤษมันเป็นความผิดขนาดนั้นเชียวหรือ)


ผ่านไปเดือนแล้วเดือนเล่า รายงานการแจ้งโทษของผมยังคงมีการนับคะแนนอยู่อย่างต่อเนื่อง จากหลักหน่วย เป็นหลักสิบ ไปสู่หลักร้อย...... ไม่ผิดครับเดือนๆ นึงเรียนภาษาอังกฤษทุกวัน โดยเฉลี่ยโดนตีวันละ 4-5 ที เดือนนึงก็ 100 แล้ว


จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากปีเป็นสองปี กระทั่งผมจบ ม.6 คาดว่าไม้เรียวกว่า 1,000 ที โดนตีเข้าที่ก้นผม เพียงเพื่อให้ผมรู้สึกผิดที่ผมไม่รู้ภาษาอังกฤษ หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผมตั้งใจไว้ว่า ผมจะไม่ให้ภาษาอังกฤษมาเป็นอุปสรรคในชีวิตของผมอีกต่อไป


นี่แหละที่ว่ารักวัวให้ผูก รักลูกศิษย์ก็ให้ตี อย่างน้อยผมก็ดีใจที่วัฒนธรรมเหล่านี้ได้จางไปแล้วในปัจจุบัน


K-Jay

Friday 4 July 2008

Handwriting

เคยได้ยินกันมั๊ยครับที่ว่า "ลูกผู้ชายลายมือนั้นคือยศ เจ้าจงอตส่าห์ทำสม่ำเสมียน" จากเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงามของสุนทรภู่


แค่เกริ่นมาเท่านั้ คงจะรู้และจำกันได้ดี ว่าตั้งแต่เริ่มเข้าโรงเรียน สมัยก่อนจะมีวิชาคัดไทยด้วย เป็นการสอนให้หัดคัดตัวอักษรภาษาไทยให้สวยงาม


ยิ่งผมเป็นผู้ชายด้วยแล้ว เขาว่าลูกผู้ชายลายมือนั้นคือยศ ดังนั้นผู้ชายต้องลายมือสวย สิ่งนี้ถูกปลูกฝังลงในหัวผมตั้งแต่เด็ก


ส่วนผลลัพธ์นั้น คนอื่นเข้าก็ว่าลายมือผมสวยนะ แต่ผมก็ว่างั้นๆแหละ เพราะมีคนอื่นที่ลายมือสวยกว่าลายมือผมตั้งเยอะ


แต่ที่เขียนเรื่องนี้ตอนนี้ ก็เพราะใครหนอจะรู้ว่าการมีลายมือสวยนั้นมันเป็นทุกลาภเช่นกัน ดังนั้นหากอ่านแล้วใครลายมือสวยคงน่าจะรับรู้ถึงทุกขลาภนี้เหมือนกัน

  • ประการแรกที่สำคัญ อาจารย์ประจำชั้นมักจะใช้ให้เราเขียนชื่อวิชาในสมุดพกของเพื่อนๆ เพื่อที่ว่าครูประจำชั้นจะได้กรอกแค่คะแนนกับเกรด

  • พวกเราเหล่าคนลายมือสวยจะต้องมีหน้าที่สำคัญในการเขียนรายชื่อนักเรียนทุกคนลงในสมุดกรอกคะแนนประจำวิชาของบรรดาครูๆ ทั้งหลาย แถมบางทียังต้องหอบเอามาเขียนต่อที่บ้านอีกหลายแฟ้ม

  • พวกเราต้องรับขันอาสาอย่างจำใจ เมื่อคุณครูต้องการทำชีท ซึ่งในสมัยก่อนต้องใช้ลายมือเขียนลงกระดาษไข แล้วเอาไปโรเนียว

  • พวกเราต้องเป็นคนคอยทำหน้าที่เขียนวันที่ เดือน ปีพอศอ บนกระดานดำทุกเช้า

  • ทุกครั้งที่ต้องมีการลงมติ พวกเราก็ต้องย้ายก้นมานั่งหน้าชั้น เพื่อเอื้อต่อการเขียนสาระทั้งหลายขึ้นกระดานดำ โดยเฉพาะเมื่อถึงหน้าเทศกาลเลือกหัวหน้าห้อง



    แค่นี้ คงเห็นแล้วหละ ว่าลายมือสวย มันก็มีทุกขลาภ เช่นกันจริงมั๊ย

Tuesday 1 July 2008

Ree Ree Khao Sarn

"รีรีข้าวสาร สองทะนานข้าวเปลือก
เลือกท้องใบลาน เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน
คดข้าวใส่จาน พานเอาคนข้างหลังไว้ให้ดี"


พอได้ยินคำร้องนี้ทีไร คิดถึงสมัยเด็กทู้กกะที


สมัยก่อนอย่างที่บอกแหละไม่มีเลยที่จะได้ออกไป Internet Cafe อย่างดีก็ชวนเพื่อนข้างบ้านมาเล่นการละเล่นไทยๆ บ้านๆ เลยอยากเอามาเขียนเพื่อจำไว้ก่อน ที่ผมเล่นสมัยก่อนก็มี รีรีข้าวสาร มอญซ่อนผ้า อีกาฟักไข่ กิงก่องแก้ว เตย (ใครรู้จักบ้าง) อัดมั่ว ตี่จับ เป่ากบ เล่นเบอร์ ตาเขย่ง เขี่ยรูปลอก โป้งแปะ(ซ่อนแอบ) งูกินหาง ม้ากระโดด ชักกะเย่อ โดดเชือก ตีแบต วิ่งเปรี้ยว ทอยเส้น(ทอยตุ๊กตุ่น) หมากเก็บ โดดยาง ตำรวจจับผู้ร้าย ไอ้เข้ไอ้โขง ตะล็อกต๊อกแต๊ก หมากรุก หมากข้าม หมากฮอร์ส Master Logic(ไฮโซมั๊ย) รถเด็กเล่น ตกปลา ลูกข่าง ปั่นแปะ ว่าว ขี่จักรยาน ขายของ โอ๊ยแยะแยะ จนยากจะจำหมด


ว่าแต่เขียนไปตั้งเยอะ รู้จักกันกี่อย่างเนี่ยะ ลองนับดูซิ

Monday 30 June 2008

Sanitary

ใครจะรู้ว่าในชีวิตของผมผมก็เคยใช้ผ้าอนามัยด้วยนะ


ใช่แล้วผ้าอนามัยสำหรับผู้หญิงเนี่ยะแหละ เป็นความรู้สึกแปลกที่นึกถึงทีไรก็แปลกอยู่ดี


จะแบบแถบกาว แบบมีปีก รวมไปถึงแบบห่วง ผมใช้มาจนคล่อง เพราะว่าผมต้องใช้อยู่ประมาณเดือนนึงหลังจากการเข้ารับการผ่าตัด


ผ่าตัดอะไร อะไร???????


ไม่บอก อิอิอิ


เอาเป็นว่าผลจากการผ่าตัดในครั้งนั้น ผมต้องนั่งนอนทำไรไม่ได้นานเกือบเดือน และต้องใช้ผ้าอนามัยหมดไปหลายแพ็ค


ก็เลยแค่อยากบอกให้รู้


ว่าผู้ชายคนนี้ ครั้งหนึ่งเคยพึ่งผ้าอนามัยเหมือนกัน

Thursday 12 June 2008

Mump

วันนี้อารมณ์ดีเลยมีเวลานั่งคิดถึงเรื่องสมัยเด็กมากมาย สิ่งหนึ่งที่คิดถึงก็คือกีฬาที่เล่นในวัยเด็ก กีฬาอีกอย่างที่ผมเล่นเป็นประจำก็คือกีฬา "เป่ากบ"


วิธีการเป่ากบก็ง่ายแสนง่ายมีอุปกรณ์แค่หนังยางวงใหญ่ 2 เส้น หาซื้อหรือจะขอจากเพื่อนผู้หญิงที่มีก็ได้ เพราะผู้หญิงมักมีเยอะเพื่อใช้ถักหนังยางสำหรับกระโดดอยู่แล้ว สถานที่ไม่จำกัดขอให้เป็นที่ราบเรียบๆ เช่นโต๊ะเรียนนั่นแหละเหมาะเหม็ง











วิธีการเล่นก็ง่ายแค่ฝึกเลือกลักษณะหนังยาง การคำนวณระยะทาง การปล่อยลมออก สังเกตการเข้ากินฝ่ายตรงข้าม ต้องเปิดปากเป่า เพื่อให้หนังยางกระโดด ไปกินฝ่ายตรงข้าม เมื่อถึงตาเราเป่า

ผู้แพ้ก็ต้องเสียหนังยางหนึ่งเส้นให้กับผู้ชนะทุกทีไป ผมเริ่มจากกการที่ขอหนังยางจากพี่ตามสเต็ปเดิม แล้วก็แข่งจนได้หนังยางเป็นกระบุงเลย แต่เข้าอีหรอบเดิม คือหนังยางอันตธานหายไปหมดแล้ว

เล่ามาถึงตอบนี้คงจะไม่อาจไม่กล่าวถึงกีฬาอีกอย่างที่เป็นที่ป๊อปปูลาร์ คือการเขี่ยรูปลอก อิอิ หลายคนคงจำได้ อุปกรณ์คล้ายๆเป่ากบ แต่เปลี่ยนเป็นรูปลอก แล้วสองฝ่ายผลัดกันเขี่ยให้รูปลอกมากินกัน คือ หน้าทับหลัง หรือหลังทับหน้า ใครชนะก็ได้รูปลอกนั้นไป โอ๊ย นึกถึงแล้วมีฟามสุข.........................


แล้ว.....................ไอ้ที่เล่ามันไม่ได้เกี่ยวกับหัวข้อเลย แต่ที่เกี่ยวคือสมัยนั้นเขามักเชื่อกันว่าเวลาเป่ากบมากๆแล้วจะทำให้เป็นโรคคางทูม พอดีเล่าแล้วสนุกเลยเลยเถิดไปกันใหญ่


Mump ตามหัวข้อ คือ โรคคางทูม ไอ้โรคคางทูม อาการอักเสบของต่อมน้ำลาย ถ้าเป็นในเด็กสาเหตุที่พบบ่อยก็คือคางทูม ซึ่งเป็นการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ปกติสามารถหายเองได้ ลักษณะอาการที่อาจจะพบร่วมด้วยได้ก็คือ มีอาการปวดเสียวมากขึ้นเวลาที่ต่อมน้ำลายทำงาน เช่นเมื่อลิ้นรับรสเปรี้ยว เป็นต้น


แต่สมัยนั้นวิธีการรักษาก็คือการเขียนเสือ อิอิ ฟังไม่ผิดครับ การเขียนเสือ คือการเอาพู่กันจีนจุ่มหมึกดำแล้วเขียนคำว่าเสือในภาษาจีนไว้ที่แก้มข้างที่เป็นคางทูม ต้องทิ้งไว้หลายวันด้วย



แล้วผมจะรอดเหรอ นึกถึงเรื่องคางทูมทีไป เป็นต้องนึกถึงภาพผมตอนเป็นคางทูมและมีการเขียนเสือไว้ที่แก้ม เวลาไปโรงเรียนใครเห็นก็เป็นที่รู้กันเลยว่าผมเป็นคางทูมอีกแระ



สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กผู้ชายในสมัยก่อน ลองมาทำตอนนี้สิ รับรองแค่ก้าวออกจากบ้าน สายตาทุกคู่เป็นได้จับจ้องมาให้อายกันเป็นแน่แท้

Dolls

Dolls ในที่นี้หาได้หมายถึงตุ๊กตาสาวสวยของบรรดาเด็กหญิงแต่อย่างใด แต่ Dolls ในที่นี้หมายถึง "ตุ๊กตุ่น" ใช่แล้วครับ ตุ๊กตุ่น หลายคนอาจลืมชื่อนี้ไปแล้ว แต่พอดีเมื่อเช้านี้ขณะขับรถมาคิดเพลินๆ ถึงบรรดาของเล่นของผมในวัยเด็ก กีฬาทอยเส้น เป็นกีฬาสุดฮิตของเด็กชายสมัยนั้น



วิธีเล่นนั้นก็ง่ายแสนง่าย อุปกรณ์การเล่มมีเพียงแค่มีตุ๊กตุ่นและถ่านหุงข้าวสำหรับขีดเส้นเท่านั้นก็พอ ขีดเส้นที่ยืน และเส้นที่ปลายทางสำหรับโยนตุ๊กตุ่นไปให้ใกล้เส้นมากที่สุดเป็นพอก็ชนะแล้ว รางวัลสำหรับผู้ชนะก็คือตุ๊กตุ่นหนึ่งตัวจากผู้แพ้



เห็นไหม ง่ายๆ ดังนั้นผมมักจะเริ่มจากการหาตุ๊กตุ่นเป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเอง ไม่ว่าจากการซื้อ 3 ตัวบาทในสมัยนั้น หรือง่ายๆ ขอตุ๊กตุ่นของพี่มาทำทุน แล้วหาเพิ่มจากสังเวียน อิอิ..



ผมเริ่มวิธีการสะสมตุ๊กตุ่นจากการแข่งขัน วิธีการ value added ของเซียนทอยเส้นตุ๊กตุ่นก็จะเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการพยายามสร้างน้ำหนักให้ตุ๊กตุ่นเพื่อไม่ให้กระดอนไกลจากเส้นที่ลง ไม่ว่าจะเอาหนังยางมารัดทั่วตัว หรือเอาลวดหรือลวดทองแดงมาพันตามแขน ขา หรือลำตัวของบรรดาไอ้มดแดง มดเอ็กซ์ หน้ากากเสือทั้งหลาย



ผมสะสมตุ๊กตุ่นได้เยอะพอควร ก่อนจะถึงการอวสานเมื่อแม่เห็นว่าผมโตขึ้น และมันก็รกแล้วก็เอาไปแจกจ่ายให้คนอื่นๆ จนหมด จึงเป็นการอวสานของบรรดาตุ๊กตุ่นของผม

Thief

เมื่อเช้าขณะขับรถมาทำงาน นั่งฟังรายการวิทยุ ประเด็นว่าคุณเคยขโมยอะไรในวัยเด็ก ก็พาให้ฉุกคิดถึงชีวิตในวัยเด็กของตัวเอง

ในชีวิตของผมตั้งแต่เด็ก เคยเจตนาเป็นขโมยซะหลายครั้ง แต่ที่จำได้ติดใจเลยก็คือ...

หลายคนคงรู้จักโรคปากนกกระจอกกันบ้างนะครับ เป็นแผลที่มุมปากไง ตามความเชื่อแล้วคนที่เป็นโรคปากนกกระจอก วิธีรักษาตามความเชื่อก็คือต้องไปขโมยน้ำตาลปี๊บกินแล้วจะหาย

ดังนั้นปฏิบัติการโฉดจึงเริ่มขึ้นทุกครั้งที่ผมเป็นปากนกกระจอก ผมมักแอบไปร้านขายของชำแถวบ้าน แล้วเอานิ้วไปป้ายน้ำตามปี๊บจากปี๊บมากิน แรกๆ ก็กล้าๆ กลัวๆ.....ไปๆ มาๆ ชักติดใจแอบควักกินทุกครั้งเรื่อยไป เพราะอร่อยดี

นี่นั่นแหละครับการเป็นขโมยที่จดจำได้ดีในวัยเด็ก

แล้วเพื่อนๆ ล่ะเคยเป็นขโมยกันบ้างป่ะ

Thursday 29 May 2008

My Sister

เคยไหมครับเวลาที่เรานัดไปไหนต่อไหนกับเพื่อนแล้วเราอยากไปมากๆ แต่พอไปเจอเพื่อนกลับหอบเอาน้องเอย หลานเอยมาด้วย หมายคนคงจะหมดสนุกไปเพราะว่ามีคนอื่นเข้ามาแจมเรื่องราวต่างๆ ด้วย ผมก็เคยมีประสบการณ์นี้

วันนี้ผมคิดถึงความทรงจำในวัยเด็กอย่างหนึ่ง เลยอยากมาแชร์ให้ฟัง

ผมเป็นน้องชายคนเล็กมีพี่สาวหนึ่งคน พี่ชายหนึ่งคน ตลอดเวลาตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ กับพี่ๆ พี่ๆก็ทำหน้าที่แทนพ่อแม่ของผมเสมอๆ

ตอนเด็ก ที่ผมเข้ามาอยู่กรุงเทพใหม่ ผมไม่รู้จักถนนหนทาง ขึ้นรถเมล์ก็ไม่เป็น แถมยังเด็กเกินไปที่จะไปไหนต่อไหนเพียงลำพัง เพื่อนก็ยังไม่มี เหมือนบ้านนอกเข้ากรุงทีเดียว

การที่จะออกไปทำกิจกรรมภานนอกในวันหยุดก็คือ การออกไปข้างนอกกับพี่ๆ

แต่อย่างที่บอกเวลาที่เราจะไปไหนก็ต้องติดสอยห้อยตามพี่ไปเสมอๆ โดยเฉพาะพี่สาวผม ทุกครั้งที่เจ๊นุ้ยมีธุระ นัดกับเพื่อนๆ เจ้นุ๊ยมักจะหอบเอาผมไปด้วยเสมอๆ เพื่อให้น้องคนนี้ได้ออกไปพบปะผู้คนบ้าง จนผมแทบจะรู้จักเพื่อนๆ ของพี่สาวไปหมดแล้ว

ผมคิดว่าหลายคน หรือแม้กระทั่งพี่สาวผม เพื่อนพี่สาวผม คงคิดอยู่บ้างแหละว่าผมเป็นส่วนเกินหรือเปล่าเวลาที่เราอยู่กับเพื่อนๆ แต่พี่สาวผมยังคงพาผมไปโน่นนี่ด้วยตลอด แทนที่จะออกไปเพียงลำพังแล้วทิ้งให้ผมอยู่บ้านดูหนังไปคนเดียว กลับพาผมไปไปแนะนำสถานที่ใหม่ๆ คนใหม่ๆ ให้รู้จัก โดยไม่เคยแสดงให้เห็นเลยว่าผมเป็นภาระที่เขาต้องคอยดูแล

คิดถึงเรื่องนี้ทีไร ผมภูมิใจในตัวพี่สาวผมคนนี้ทุกที "รักเจ๊นุ้ยนะครับ"

Thursday 8 May 2008

Congratulations

"ยินดีด้วย" ถ้อยคำธรรมดาที่เราทั้งหลายอาจจะเคยพูดเวลาที่เราได้รับรู้เรื่องราวดีๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตใครคนใดคนหนึ่ง

การพูดแสดงความยินดีนั้น หลายครั้งที่เราอาจต้องแสดงออกตามมารยาทของผู้รับฟังที่ดี ซึ่งผมเคยทำบ่อยๆ และคาดว่าหลายคนก็เคยทำกันบ้างไม่มากก็น้อย

คนที่รับฟังคำแสดงความยินดี หรือคำชมต่างๆ อาจตามมา ถึงแม้รู้ว่าผู้พูด อาจพูดขึ้นมาตามมารยาทก็ตาม แต่ก็ยังอดยิ้มตามไม่ได้

ดังคำกล่าวว่า "การห้ามไม่ให้โกรธเมื่อมีคนว่า ยังง่ายกว่าการห้ามไม่ให้ยิ้มเมื่อมีคนชม"

แต่หากว่าการแสดงความยินดีนั้นแสดงออกมาจากผู้ที่เรารู้เสมอว่าพร้อมที่จะยินดีในความสำเร็จของเราตลอดเวลา เราคงไม่ต้องสงสัยในความหมายภายหลังถ้อยคำเหล่านั้นเลย

ผมเพิ่งทราบผลการคัดเลือกเข้าเรียนปริญญาโทที่ประเทศสวีเดนอย่างเป็นทางการเมื่อไม่เกิน 8 ชั่วโมงที่ผ่านมา ผมไม่รีรอที่จะแจ้งข่าวดีให้แม่ผมทราบเหมือนปกติที่ผมทำทุกครั้ง

ไม่เกินคาดเดาว่าแม่ผมดีใจเช่นกัน แค่คำพูดที่กล่าวเพียงว่า "ยินดีด้วยนะ" แค่เพียงคำเดียว

มันแทนถ้อยคำมากมายที่ยากจะพรรณนาถึงความปรารถนาดีที่แม่ให้.........แค่นี้เพียงพอแล้วครับ

รักอาม้าครับ รักอาปาด้วย

Wednesday 7 May 2008

Teacher

วันนี้โอกาสดี ได้กลับไปโรงเรียนเทพศิรินทร์อีกครั้ง

เหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นตลอด 6 ปีที่ผมอยู่ที่เทพศิรินทร์ บ้างน่าจดจำ บ้างน่าลืม แต่กลับไม่ลืม

แต่ที่ทำให้วันนี้ผมรู้สึกนึกถึงมากที่สุด คงเป็นครูประจำชั้นคนแรกของผม ชั้นม.1/8 "อาจารย์ภิรมย์ วงศ์เหลือง"

จากเด็กต่างจังหวัดที่ต้องการการเอาใจใส่อย่างมากในการปรับตัวเข้ากับคนอื่น

ในความทรงจำของผมอาจารย์ภิรมย์คอยให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดีแก่นักเรียนทุกคนซึ่งรวมถึงผมด้วย

แม้ว่าผมขึ้นมาอยู่ม.2, 3 หรือ ม,ปลายแล้วก็ตาม แต่ผมยังคงแวะเวียนไปพูดคุยกับอาจารย์ตลอดเท่าที่โอกาสอำนวย และให้อาจารย์คอยช่วยเหลือในบางโอกาส

คิดถึงอาจารย์มากนะครับ แม้ว่าวันนี้อาจารย์ไม่ได้อยู่เห็นว่าลูกศิษย์คนนี้ดำเนินชีวิตได้ดีเพียงใดก็ตาม แต่ผมมั่นใจว่าอาจารย์พร้อมที่จะยินดีในความสำเร็จของลูกศิษย์คนนี้เสมอ

1o ปีแล้วนะครับครู..........

หลับให้สบายนะครับ.......................คุณครูของผม

Elememts

"ชีวิตคนเราดำเนินไปตามเหตุปัจจัยหลายประการที่ประกอบเข้าด้วยกัน" ถ้าผมพูดแค่นี้ คาดว่ามีหลายคนที่เข้าใจ แต่ในทางกลับกันหลายคนก็อาจไม่เข้าใจว่าผมพูดอะไร????

ครั้งแรกที่ผมเริ่มคิดว่าหลักธรรมในพระพุทธศาสนา มีอะไรมากกว่าที่ผมรู้มาตั้งแต่เด็กว่าคือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับผมราวๆ เดือน เมษายนถึงพฤษภาคม 2546 ที่วัดญาณเวศกวัน วันนั้นผมมีปัญญาที่สุมอยู่ในใจค่อนข้างมาก เพื่อนผมชวนไปวัดญาณฯ ครั้งแรก วันนั้นที่วัดผมได้นั่งฟังธรรมะบรรยายเรื่อง ปฏิจจสมุปปบาท จากพระอาจารย์ครรชิต คุณวโร

ผมนั่งฟังวันนั้น ผมขอบอกว่าผมไม่รู้เรื่องเลยสักนิดเกี่ยวกับหลักธรรมที่ท่านบรรยาย แต่ผมกลับฉุกคิดจากตัวอย่างง่ายๆ เพียงตัวอย่างเดียว คือ

"ช่างไม้ได้ทำเก้าอี้ไม้ขึ้นมาตัวหนึ่ง คนพากันไปทดลองนั่งแล้วก็ชมช่างไม้ว่าทำเก้าอี้ได้ดี นั่งแล้วมั่นคงแข็งแรง ไม่โยกเยก ดังนี้ จริงๆ แล้วการที่เก้าอี้ตั้งอยู่ได้อย่างมั่นคงแข็งแรงนั้น หาใช่เป็นเพียงเพราะการที่ช่างไม้คำนวณอย่างแม่นยำ ประกอบอย่างถูกต้อง เท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยอื่นประกอบอีก เช่น แรงดึงดูดของโลกที่ดูดเก้าอี้ไว้กับพื้น ไม่ล่องลอยในอากาศ หรือน้ำหนักของคนที่นั่ง"

ใครจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม หลังจากผมฟังตัวอย่างแล้ว ผมจึงคิดได้ว่าปัญหาที่รุมเร้าผมในขณะส่วนใหญ่ไม่ได้ขึ้นกับตัวผม ผมจึงค่อยๆ ขบคิดและปล่อยวางลงไปที่ละน้อย จนกระทั่งปัญหาเหล่านั้นมากระทบจิตใจผมไม่ได้เลยในเวลาต่อมา อย่างที่เขาว่ากันว่า เวลาผงเข้าตาเขี่ยตาตัวเองอย่างไรผงก็ไม่ยอมออกซะที ต้องให้คนอื่นเขี่ยให้

จากเหตุการณ์นี้ผมได้คิดว่า ทุกเรื่องล้วนแต่มีเหตุปัจจัยที่ต่างกันหลายประการ ดังนั้นพึงควรทำเหตุปัจจัยให้ถึงพร้อม เพื่อความสำเร็จของการงานที่ทำ จะเป็นแนวทางที่ไม่ประมาท และทำให้งานนั้นประสบความสำเร็จ

จากวันนั้นทำให้ผมค่อยๆ ศึกษาธรรมะอย่างเข้าใจ มากกว่าท่องจำ กระทั่งได้เข้าบรรพชาที่วัดญาณฯ แห่งนั้นนั่นเอง

Monday 5 May 2008

Surname

ความทรงจำในเรื่องนามสกุลของผมนั้น ก็มีสิ่งที่น่าจดจำเช่นกัน

เดิมนั้นผมมีนามสกุลว่า "โอสถเจริญผล" เป็นนามสกุลที่ลุงตั้งขึ้น เพราะเดิมครอบครัวทางพ่อผมทำกิจการร้านขายยา ก็เลยใช้นามสกุลนี้มาเรื่อยๆ

ทำไมถึงอยากเปลี่ยนนามสกุล.... ครอบครัวเราห็นว่าพวกเราน่าจะตั้งนามสกุลใหม่เสียที ให้พ่อเป็นคนตั้งนามสกุลแล้วพวกเราก็เปลี่ยนไปใช้นามสกุลของพ่อ

เหตุที่เปลี่ยนนี้จึงไม่มีเหตุผลใดแอบแฝงหรอกเพียงแค่อยากให้เรามีสกุลของพวกเรากันนั่นเอง

นามสกุลใหม่ใช้เวลากว่าจะได้นานมาก เท่าที่จำได้น่าจะมากกว่า 3-4 ปี เพราะแม่ไม่อยากได้นาสกุลที่ยาวและเขียนยาก

จนกระทั่งพี่ชายผมบวชที่วัดญาณเวศกวัน ก็เลยได้ไอเดียให้พี่ขอนามสกุลใหม่จากท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) หรือพระธรรมปิฎกในขณะนั้น เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2547

ซึ่งท่านก็เมตตาตั้งนามสกุลใหม่ให้เรามากมายหลายนามสกุลทีเดียว เท่าที่อยากกล่าวในที่นี้เพื่อยืนยันถึงความเมตตาของท่าน นามสกุลที่ท่านตั้งให้
  1. หยั่งญาณทัศน์ (หยั่งรู้หยั่งเห็น ใช้ญาณทัศน์หยั่งดูให้รู้ความจริง)
  2. ยั่งยืนธรรมสถิต (ดำรงอยู่ในธรรมะอย่างยั่งยืน)
  3. ยั่งยืนธรรมโศภิต (งามด้วยธรรมอย่างยั่งยืน)
  4. ยั่งยืนญาณสถิต (ดำรงอยู่ในความรู้อย่างยั่งยืน)
  5. ชยางคกุล (ตระกูลที่มีคุณสมบัติแห่งชัยชนะ)
  6. ชยางควัฒน์ (เจริญด้วยคุณสมบัติแห่งชัยชนะ)
  7. ชยางค์พล (พลังที่มีคุณสมบัติแห่งชัยชนะ)
  8. ทยางค์พล (พลังที่มีคุณสมบัติแห่งความเมตตาการุณย์)
  9. ทยางคานนท์ (ยินดีในคุณสมบัติแห่งความเมตตาการุณย์)
  10. ทยางคสมิทธิ์ (ความสัมฤทธิ์ผลแห่งคุณสมบัติข้อเมตตาการุณย์)
  11. ปรียังกรณ์, ปริยังกร (ทำให้เป็นที่รัก, ทำให้ชื่นชมรักใคร่พอใจ)
  12. ปิยังกรภัทร์ (ทั้งน่าชื่นชมรักใคร่ และเจริญ มีโชค)
  13. สมิทธิวันต์ (มีความสำเร็จ)
  14. นาทวรินทร์ (มีเสียงบันลือ (อำนาจ) ที่เลิศประเสริฐเป็นใหญ่)
  15. วรินทวัศ (อำนาจของผู้เลิศประเสริฐยิ่งใหญ่)

เหล่านี้ล้วนเป็นนามสกุลที่ท่านเจ้าคุณตั้งให้

ครอบครัวเราจึงมาลงมติเลือกนามสกุลออกมาแล้วผมก็เอาไปตรวจสอบการซ้ำว้อนว่ามีนามสกุลเหล่านี้ใช้อยู่หรือยัง และในที่สุดก็เลือกก็คือ "ชยางคกุล" (JAYANGAKULA) เป็นนามสกุลใหม่ของครอบครัวเรา เพราะเขียนง่าย ความหมายดี

ผมจึงถือว่าสิ่งนี้เป็นความทรงจำที่ดีความทรงจำหนึ่งในชีวิต และเป็นหนึ่งในมงคลในชีวิตของผมเช่นกันที่ท่านเจ้าคุณได้ตั้งนามสกุลนี้ให้แก่ครอบครัวเรา

Sunday 4 May 2008

Pay Respect

การแสดงความเคารพตามขนบธรรมเนียมประเพณีของคนไทยนั้น มีอยู่มากมายหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับกาละและเทศะที่ผู้นั้นจะแสดงความเคารพนั้น

ตั้งแต่เด็กผมจำได้ว่าผมไม่เคยกราบเท้าพ่อและแม่เลย (ถ้านับข้ามๆ งานวันพ่อวันแม่ที่ทางโรงเรียนจัดขึ้น) บางทีแอบอิจฉาหลายคนที่มีโอกาสเหล่านั้น

ผมเคยคิดหาโอกาสอยู่หลายครั้งมากว่า เราจะถือโอกาสไหนดีหนอที่จะกราบเท้าพ่อและแม่ได้ บางคนอาจไม่ต้องคิดมากเช่นผม แต่อย่างที่เคยบอกครั้งแรกในการทำทุกสิ่งมักต้องคิดมากเสมอแหละ จริงไหม?

จวบจนกว่า 20 ปีผมก็ไม่เคยกราบเท้าพ่อและแม่อย่างเป็นทางการเสียที จนกระทั่งเมื่อปีพ.ศ. 2547 ผมได้เข้าบวชที่อุโบสถ วัดญาณเวศกวัน โดยมีพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) หรือพระธรรมปิฎก (ในขณะนั้น) เป็นพระอุปัจฌายะ

นอกจากการบวชครั้งนี้จะเป็นการบรรพชาครั้งแรกของผมแล้ว ยังถือเป็นโอกาสที่ผมจะได้กราบเท้าผู้มีพระคุณคือ พ่อและแม่อย่างเป็นทางการอีกด้วย

การกราบเท้าพ่อแม่ เป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้จริงๆ นะครับ แต่ผมขอบอกได้เลยว่ามันเป็นมงคลแก่ชีวิตอย่างยิ่ง (จำได้ว่าไม่เพียงแต่ผมเท่านั้นที่น้ำตาไหล แต่พ่อและแม่ผมก็เช่นกัน)

จากนั้นผมก็มีโอกาสอีกครั้งตอนสึกจากเพศบรรพชิต ผมมีโอกาสที่จะกราบเท้าพ่อและแม่อีกครั้ง

จากเหตุการณ์ทั้งสองที่ผมหยิบยกขึ้นมานี้ ทำให้ผมรู้และเข้าใจสิ่งหนึ่งขึ้นมา ก็คือ การแสดงความเคารพนั้นต่อพ่อแม่นั้น ท่านทั้งสองไม่ได้เพียงรับรู้โดยการกระทำทางกายเท่านั้น แต่ท่านจะรับรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในจิตใจของลูกของท่านด้วยเสมอ

อยากให้ทุกคนแสดงความเคารพ ความรัก ความห่วงใยพ่อแม่ของทุกคนมากๆ และบ่อยๆ เท่าที่มีโอกาส

ดังพุทธพจน์ที่ว่า "ปูชา จะ ปูชนียานัง เอตัมมัง คะละมุตตะมัง" "การบูชาคนที่ควรบูชา ถือเป็นมงคลแก่ชีวิตอย่างยิ่ง"

Thursday 1 May 2008

So Proud

หลายปีที่แล้ว ผมเคยมีความรู้สึกเบื่อที่หลายครั้งพ่อแม่มักจะเอาเรื่องของผมไปเล่าโชว์ญาติพี่น้อง เพื่อพ้อง ว่าผมเรียนที่ไหน ทำงานอะไร หรือกำลังจะทำอะไร เพราะว่าผมมีความรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องในครอบครัวที่เราไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องเอาไปโพทนาให้คนอื่นๆ เขารับรู้ หรือร่วมยินดีกับผมนี่นา แค่รู้กันในครอบครัวก็พอแล้ว

หลายคนที่เคยมีความรู้สึกอย่างผม ลองคิดในทางกลับกันดูนะครับ

  1. เรื่องพี่พ่อแม่เราเล่าให้คนอื่นฟัง คือเรื่องของใคร ตอบ เรื่องของเรา
  2. คนที่พ่อแม่เล่าให้ฟัง เป็นคนรู้จักของใคร ตอบ คนรู้จักของพ่อแม่ ที่อาจไม่รู้จักเรา
  3. พ่อแม่เล่าให้เขาฟังทำไม ตอบ อาจจะเพราะต้องการบอกให้คนอื่นรู้ว่าลูกเขาเก่ง มีความสามารถ หรือประสบความสำเร็จในชีวิตเพียงใด หรือไม่ก็พูดจนให้คนอื่นอิจฉาว่ามีลูกที่ดี ฉลาด เก่ง กว่าคนอื่น
  4. ทำไมพ่อแม่ถึงได้ต้องเล่าให้เขาฟังด้วย ตอบก็เพราะว่าพ่อแม่เราภูมิใจในตัวเรา

ดังนั้น "ไม่มีเหตุผลที่เราจะไม่พอใจที่พ่อแม่ภูมิใจในตัวลูกคนนี้"

ตัวลูกเสียอีก "เคยสักครั้งไหมที่จะบอกให้คนทั้งหลายรู้ว่าเราภูมิใจในตัวพ่อแม่เรามากหรือน้อยเพียงใด เคยไหมที่จะกล่าวชื่นชมพ่อแม่ให้คนอื่นฟังจนอิจฉาที่มีพ่อแม่เช่นพ่อแม่เรา"

ลองถามตัวเองดูสักครั้ง แล้วนับดูว่ามีบ้างไหม และมีกี่ครั้งที่จำได้

ถ้าเราก็ภูมิใจในตัวท่าน ก็ลองเปรียบกันดู

"พ่อแม่เราภูมิใจในตัวเราตั้งแต่แรกที่รู้ว่าตั้งท้อง

วันที่เราลืมตาดูโลก

วันแรกที่เราพูด

วันแรกที่เราเรียกชื่อพ่อแม่

วันแรกที่เราเริ่มเดิน

วันแรกเราไปโรงเรียน

วันที่เราเรียนจบ

วันที่เราประสบความสำเร็จ

จนปัจจุบัน"

แค่นับวันเวลาแห่งการภาคภูมิใจในกันและกันอย่างน้อยความภาคภูมิใจของพ่อแม่มันก็ยาวนานกว่าเรา

เพราะมันเกิดขึ้นก่อนที่เราจะมองเห็นและจดจำหน้าพ่อแม่ได้ รวมไปถึงเข้าใจในความภาคภูมิใจด้วยซ้ำ

Contact

คอนแทคในที่นี้ไม่ใช่การติดต่อ แต่เป็นการสัมผัส

การสัมผัสเป็นการถ่ายทอดความรู้สึกต่อกันโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยการพูดและการได้ยิน

หลายครอบครัวคงเป็นเหมือนผม คือในครอบครัวเราไม่ค่อยมีการสัมผัสกันมาก ไม่ว่าจะเป็นการกอด หรือการหอม อย่าว่าเลยแม้แต่การบอกรักกันก็เป็นเรื่องยากสำหรับครอบครัวผม

เวลาผ่านไปนานเกินกว่าที่ผมจะกลัวในการแสดงออกถึงความรู้สึกเหล่านั้นอีกต่อไป ผมเริ่มที่จะจับมือพ่อแม่ นอนหนุนตัก กอดแขน ไปถึงการกอดตัว ผมกล้าที่จะยืนกอดต่อหน้าสาธารณะชนโดยไม่จำเป็นต้องอายใคร

เพราะเมื่อคุณกอดแม่ของคุณ สิ่งที่คุณต้องคิดถึงคือความรู้สึกของแม่ที่ได้รับการกอดจากคุณ มากกว่าความรู้สึกของคนอื่นที่เห็นคุณกอดแม่

ดังนั้นตอบได้ไม่ยากเลยว่า แม่ชอบไหมที่เรากอด แล้วก็ตอบได้ไม่ยากอีกเช่นกันว่าชอบ

จึงอาจกล่าวได้ว่า ไม่มีเหตุผลเลยที่ผมจะไม่กอดแม่ทุกครั้งที่ผมต้องการแสดงความรัก ความห่วงใยต่อแม่ผม

หลายคนที่ยังมีโอกาสที่จะกอดคนที่คุณรัก ก็ทำไปเถิดครับ อย่าไปสนใจความรู้สึกของคนอื่น พึงสนใจเฉพาะความรู้สึกของคนที่คุณกอดเขาก็เพียงพอแล้ว

Make a Wish

หลายคนเฝ้าที่หาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอพรให้ชีวิตของตนเองมีแต่ความสุขความเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ

หลายคนพยายามไปหาพระหาเจ้าเพื่อให้เขาอวยพรให้ชีวิตมีอต่ความสุขโชคลาถไหลมาเทมา................โดยลืมมองกลับไปยังพระที่บ้านของเรา

พ่อแม่งัยครับ คือพระที่ประเสริฐสุดสำหรับลูก ท่านไม่เคยสักนิดที่จะแช่งชักหักกระดูกให้ลูกฉิบหาย หรืออับจนหนทางในชีวิต

ดังนั้นไม่ต้องวิ่งเร่ไปหาพรจากที่ใด ในเมื่อที่บ้านมีตู้ขอพรเอนกประสงค์อยู่แล้ว ก็พ่อแม่อีกนั่นแหละ ขอได้ทั้งพรและเงิน

ดังนั้น สำหรับผมแล้วพรที่ประเสริฐที่สุดก็คือพรจากอาปาอาม้านั่นเอง ทุกครั้งที่ผมต้องเข้าสอบหรือแข่งขันอะไร ผมไม่เคยลืมเลยที่จะโทรศัพท์ไปบอกอาม้าและทุกครั้งอาม้าก็จะอวยพรให้ผมเสมอ ซึ่งผมถือว่าเป็นพรวิเศษที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด

คำพูดไม่มากมายที่เพียงบอกว่า "ขอให้ทำข้อสอบได้ ทำคะแนนให้ได้สูง ชนะทุกๆคนเลย" ดูเป็นคำพูดพื้นๆธรรมดาที่อาจไม่สละสลวยเท่าไร มันอาจดูเป็นคำพูดที่ทุกคนก็พูดออกมาได้เหมือนกัน แต่สำหรับผมความหมายของคำพูดที่อาม้าอวยพรผมนั้นผมไม่ได้รับรู้ด้วยหูเท่านั้น แต่ผมรับรู้ด้วยใจ

บ้านเราไม่ค่อยพูดคำหวานใส่กัน เพียงแค่คำพูดที่ดูธรรมดาประโยคหนึ่งจากบุพการีนั้น มันมีคุณค่าแความหมายมากว่าวาจาที่เปล่ง

แต่ความหมายของมันคือ "วาจาที่เปล่งพูดออกมานั้น คือ พูดอะไร เพื่ออะไร จากใคร และเพื่อใคร"

Sunday 27 April 2008

DAENG

หากจะกล่าวถึงเรื่องชื่อแล้ว ผมเคยเขียนไปหลายครั้งแล้วว่าอาม้ากับอาปาเลือกที่จะให้ผมชื่อกิตติ มากกว่ากีรติและกิจจา แต่จะมีกี่คนเชียวที่รู้ว่ากิตตินั้นก็ไม่ใช่ชื่อแรกของผม จะว่าไปผมเนี่ยะเปลี่ยนชื่อตัวมาแล้วครั้งนึงก่อนที่ค่านิยมในการเปลี่ยนชื่อจะเจริญรุ่งเรืองในปัจจุบันเสียอีก

ถูกต้องแล้วครับตามหัวข้อนี้ ชื่อเดิมของผมชื่อ แดง ครับ ดูดีมีระดับจะตาย แม้ว่าในช่วงนั้นมันจะมีคนชื่อนี้มากมายแต่ก็เป็นเพียงชื่อเล่นนะ แต่ของผมนี่ชื่อจริงตามสูติบัตรกันเลยทีเดียว

อาม้าบอกว่าตอนท้องก็ไม่รู้ว่าเป็นผู้ชาย หรือว่าผู้หญิง และก็เลยไม่ได้เตรียมชื่อไว้ พอคลอดนางพยาบาลมาถามว่าจะตั้งชื่อว่าอะไร ก็คิดกันไม่ออกไม่รู้เอาชื่ออะไรดี ก็เลยตั้งว่าแดงละกัน ผมก็เลยได้ชื่อนี้มาเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่อาปาจะไปแจ้งเปลี่ยนชื่อเป็นกิตติ อย่างทุกวันนี้ ซึ่งเป็นชื่อโบราณที่สมัยนั้นมีเยอะ แต่ปัจจุบันคนที่ชื่อกิตติ คงน่าจะเสียชีวิตไปเยอะแระ

แต่ทั้งนี้ที่ผมเล่ามิใช่ว่าดีใจที่ไม่ได้ชื่อแดงนะ แต่ไม่ว่าจะชื่อไหน ผมจะชื่ออะไร ผมก็ยังเป็นเหมือนเดิม เพราะอย่างที่บอกชื่อคือมงคลชีวิตอย่างหนึ่งซึ่งพ่อแม่เรามอบให้ อย่าไปยึดติดมากเลย เหมือนเวลารู้เพียงว่าท่านมอบให้เราด้วยความรักปรารถนาดีต่อเราเท่านั้น

ตราบเท่าทุกวันนี้ผมโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่สำหรับอาปาอาม้า ผมก็ยังเป็นไอ้แดงของท่านทั้งสองอยู่ดี

Monday 21 April 2008

Drunk

พูดถึงเรื่องเมาแล้ว ในที่นี้ไม่ใช่เมาเหล้าหรือว่าเมารัก!!!



แต่ว่ามันคือเมารถ



ตั้งแตเด็กผมเป็นโรคเมารถเสมอๆ รถที่ผมขึ้นแล้วไม่เมาก็คือรถแท็กซี่ นอกนั้นรถยนต์ทุกคันเมามันหมด



รถยนต์ที่สุดยอดก็คือ รถเปอร์โยต์ 505 สีนำเงินของอาปานั่นเอง ขึ้นทีไรอ้วกทุกทีสิพับผ่า!!



เบาะหนัง กลิ่นสุดยอดมากๆ


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความทรงจำในวัยเด็กเกี่ยวกับรถยนต์ของอาปา ไม่เฉพาะแต่เปอร์โยต์สำหรับผม แต่รวมถึงรถคันอื่นๆ ที่อาปาอาม้าซื้อมาเป็นกรรมสิทธิ์ มันไม่ใช่การเมารถ หรือกลิ่นเบาะของรถที่ทำให้ผมอ้วก



แต่มันคือ เรื่องที่อาปาอาม้าเล่าว่า "ครั้งหนึ่งผมไม่สบายมาก อาปาอาม้าต้องพาผมเข้ากรุงเทพเพื่อไปโรงพยาบาลหัวเฉียวตอนดึก แต่ไม่มีใครให้ยืมรถเลย ทำให้ไม่มีรถเพื่อพาผมส่งโรงพยาบาล นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาอาปาอาม้าจึงตัดสินใจซื้อรถเพื่อใช้ในยามที่มีความจำเป็น"

โดยคันแรกอาปาอาม้าตัดสินใจซื้อคือรถโตโยต้า Crown สีทอง รถ DATSUN สีเหลือง และรถเปอร์โยต์ตามลำดับ เพื่อเป็นพาหนะในยามที่ครอบครัวเรามีความจำเป็นต้องเดินทาง และรถยนต์เหล่านี้ทำให้ครอบครัวเราไปเที่ยวกันทุกวันตรุษจีนอย่างมีความสุข ตั้งแต่เด็กเป็นต้นมา



ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าความทรงจำในเรื่องรถของผมนั้น มันก็ผูกอยู่กับการดูแลเอาใจใส่เลี้ยงลูกอย่างดีของอาปาอาม้าอีกเช่นกัน

Rice Porridge

ตอนเด็กๆ อาทิตย์ไหนที่กลับบ้าน แล้วตรงกับที่อาปาต้องเข้ามาซื้อของในกรุงเทพ อาปาก็จะขับรถเข้ามาตั้งแต่เย็นวันอาทิตย์ เพื่อตอนเช้าจะพาพวกเราไปส่งตามโรงเรียนกัน ดังนั้นอาทิตย์ไหนที่อาปาจะเข้ามาส่ง เราก็จะดีใจ เพราะว่ากว่าจะออกจากบ้านก็เย็นๆ ไม่ต้องรีบกลับมาก

อาปาจะมานอนค้างคืนอยู่ด้วยกับพวกเรา ก่อนที่จะปลุกให้พวกเราลุกกันตั้งแต่เช้า เพื่อจะพาพวกเราไปกินโจ๊กก่อนที่จะไปส่งที่โรงเรียน

ร้านโจ๊กที่ไปกินกันบ่อยที่สุดก็คือร้านโจ๊กที่ราชวงศ์ ถนนที่ไปที่ท่าน้ำราชวงศ์ รองลงมาก็ที่สามย่าน แล้วก็ที่ยศเสก่อนถึงโรงเรียนเทพศิรินทร์

อาปาจะพาไปกินแล้วจะเริ่มขับรถวนส่งตามโรงเรียนต่างๆ ตอนผมยังอยู่สีตบุตรก็เริ่มจากโรงเรียนสีตบุตรบำรุง
โรงเรียนสตรีมหาพฤฒาราม และเทพศิรินทร์ จนกระทั่งผมเข้ามาเรียนที่เทพศิรินทร์ ก็เลยทุ่นแรงหน่อยเพราะว่าส่งแค่สองที่เอง

แต่ขอบอกว่าตอนเด็กๆ นั้นโจ๊กเลยกลายเป็นอาหารที่ผมไม่ชอบมาก เพราะต้องตื่นเช้าขึ้นมากิน แต่จะว่าไป ถ้าวันนั้นอาปาไม่ขยันขับรถรับส่งและพาพวกเราไปกินโจ๊กทุกครั้งที่มีโอกาส ก่อนพาพวกเราไปส่งตามโรงเรียน ประสบการณ์เหล่านี้คงไม่ฝังอยู่ในความทรงจำอันดีของเรา เพราะ"สิ่งที่ฝังอยู่ในความทรงจำของผมไม่ใช่เรื่องโจ๊ก แต่เป็นเรื่องการดูแลและเอาใจใส่พวกเราเป็นอย่างดีของอาปาต่างหาก"


Thursday 17 April 2008

The Mirror

บางคนคิดว่า การเข้ามาเรียนกรุงเทพฯของเด็กต่างจังหวัดเป็นเรื่องดี เพราะว่าจะทำให้เราเข้มแข็ง และโตเป็นผู้ใหญ่ รู้จักช่วยตัวเอง

ความคิดนี้ไม่ได้ผิดไปหรอก มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ผมจะเป็นกระจกเงาสะท้อนให้ฟังครับว่า.....

การที่ผมมาเรียนในกรุงเทพฯตั้งแต่เด็ก มันทำให้ผมโตเป็นผู้ใหญ่ กล้าตัดสินใจด้วยตนเอง ตั้งแต่เด็ก
  • ผมตัดสินใจในเรื่องต่างๆ เอง โดยบางส่วนก็ปรึกษาพี่ชาย พี่สาว หรือลูกพี่ลูกน้องที่มาพักอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ
  • ผมสามารถจัดการเรื่องอาหารการกิน จ่ายตลาด ทำกับข้าวเองตั้งแต่เด็ก
  • ผมสามารถเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัดคนเดียวได้ตั้งแต่อายุ 13 ขวบ (หลายคนอาจคิดว่าก็ไมเห็นจะยากเลย แต่ผมจะเล่าให้ฟังถึงขั้นตอนการกลับบ้านของผมมีดังนี้
  1. ต้องเดินจากบ้านพักไปที่สถานีรถไฟ หัวลำโพง
  2. โดยสารรถไฟสายเหนือ หรือสายอีสานจากหัวลำโพง ไปลงที่สถานีอยุธยา
  3. เดินจากสถานีรถไฟอยุธยา ไปนั่งเรือข้ามแม่น้ำป่าสัก
  4. ขึ้นฝั่งเดินจากท่าเรือ ไปที่สถานีรถที่เจ้าพรหม
  5. โดยสารรถจากหน้าเจ้าพรหม อยุธยา ไปยังสถานีรถที่ป่าโมก
  6. ลงที่สถานีรถที่ป่าโมก โดยสารเรือข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา
  7. ขึ้นจากเรือเดินเท้าต่อไปยังบ้านผม

นั่นคือสิ่งที่ผมต้องทำตั้งแต่เด็กเมื่ออยากกลับบ้าน

สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมโตขึ้น มากกว่าเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน ซึ่งผม"ไม่ปฏิเสธ"

แต่มีหลายสิ่งที่ผมขาดไป ไม่เหมือนเด็กทั่วไป

  • ผมขาดการพูดคุย เล่าเรื่องที่โรงเรียนให้พ่อแม่ฟังทุกเย็น
  • ผมไม่ค่อยมีโอกาสได้สวัสดีพ่อแม่ทุกเช่าก่อนไปโรงเรียน และทุกเย็นเมื่อกลับบ้าน
  • ผมไม่ค่อยมีโอกาสไปเที่ยวที่ไหนกับพ่อแม่นอกจากทุกวันตรุษจีน
  • ผมไม่ค่อยมีโอกาสกอดพ่อแม่เหมือนคนอื่นๆในวัยเดียวกัน
  • ผมไม่ค่อยมีโอกาสปรึกษา เรื่องต่างๆ จากพ่อแม่

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น

"ผมไม่เคยขาดความอบอุ่นจากอาปาและอาม้า หรือน้อยใจว่าไม่ได้มีโอกาสดีๆเหมือนคนอื่นๆ อาปาอาม้าไม่เคยทำให้ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมขาดหายไปนั้นมันไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ผมได้มา"

ผมแค่อยากบอกว่า "ผมรักอาปากับอาม้ามากครับ"

Farewell

การจากลานั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนไม่ค่อยชอบ

ชีวิตพบต้องเผชิญกับการจากมาตั้งแต่เด็ก เมื่อผมอายุได้สิบขวบผมก็ตัดสินใจที่จะเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ

ไม่ผิดหรอกครับ ผมตัดสินใจเอง

อาปา อาม้า เป็นคนที่มองหาอนาคตให้ลูกๆ เสมอ ทั้งสองคนเรียนมาน้อย (อาปาจบป.6 อาม้าจบแค่ ป.4) แต่ทั้งสองคนให้การสนับสนุนด้านการเรียนแก่ลูกๆ เป็นอย่างมาก ทั้งสองท่านอยากให้ลูกๆได้เข้าเรียนในโรงเรียนดีๆ ที่มากกว่าโรงเรียนประจำเทศบาลที่พวกเราเข้าเรียนกันมาตั้งแต่เด็ก (โรงเรียนเทศบาลวัดป่าโมกข์) ดังนั้นพอพี่สาวผมอายุ 12 ขวบ ก็มาเข้าเรียนที่โรงเรียนประตูชัย ในจังหวัดอยุธยาชั้น ป.5 เช่นเดียวกันกับพี่ชายผม แต่เมื่อเรียนจบประถมศึกษาก็พยายามที่จะให้ลูกๆ ได้เรียนในกรุงเทพฯ โดยได้เข้าหุ้นกับญาติๆ เช่าตึกแถว แถวๆ หัวลำโพงไว้ห้องนึง เพื่อให้ลูกหลานเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ พี่สาวและพี่ชายผมเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ ในระดับมัธยมศึกษา โดยพี่สาวเรียนที่โรงเรียนสตรีมหาพฤฒาราม พี่ชายเรียนที่โรงเรียนเทพศิรินทร์

แต่กับผมซึ่งเป็นลูกคนเล็กและอายุน้อยกว่าคนอื่น อาปาอาม้ากลับส่งให้มาเรียนที่ประตูชัย อยุธยาตั้งแต่อายุ 10 ขวบ (ป.3) พออายุ 12 ขวบ ขึ้นชั้น ป.5 อาปาอาม้าก็ส่งผมมาเรียนในกรุงเทพฯ โรงเรียนสีตบุตรบำรุง แล้วก็เข้าโรงเรียนเทพศิรินทร์ตามพี่ชายผม

ตอนแรกอาม้าก็ยังไม่อยากให้ผมเข้ามากรุงเทพฯ สักเท่าไหร่ ต้องตัดสินใจว่าจะให้ผมมาเข้าเรียนตั้งแต่ ป.5 หรือควรรอจนเข้า ม.1 ก่อน อาม้าจึงมาถามความเห็นจากผมในขณะนั้นซึ่งอายุ 11 ขวบกว่าๆ ว่าต้องการแบบไหน อยากจะจากอาปาอาม้ามาตั้งแต่ตอนนี้ หรือว่าจะรออีก 2 ปีตอนเข้าม.1

ผมจำได้ว่าผมตอบอาม้าไปว่า "จะจากกันปีนี้หรืออีกสองปี ก็ต้องจากเหมือนกัน ดังนั้นผมจะไปตั้งแต่ปีนี้เลยแล้วกัน" ท่านทั้งสองก็เลยตัดสินใจให้ผมมาเรียนกรุงเทพฯตั้งแต่ตอน ป.5

ผมยังจำวันนั้นได้ดี กระทั่งมาเรียนกรุงเทพฯ ทุกครั้งที่กลับบ้านผมจะดีใจมากและในเย็นวันอาทิตย์ เวลา 4 โมงเย็นผมต้องกลับมากรุงเทพฯ เพื่อขึ้นรถไฟตอน 6 โมงเย็น ผมจะเข้าไปอาบน้ำและร้องไห้ในห้องน้ำทุกครั้งไป จนเรียกได้ว่าผมชินกับการจากลามาตั้งแต่เด็กก็ว่าได้

Tuesday 15 April 2008

Childhood Activities

กิจกรรมยามว่างของเด็กในเมืองปัจจุบัน มักจะเสียไปกับการเล่นเกมส์ การเดินซื้อเสื้อผ้า และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ แต่กับเด็กในสมัยผม ชีวิตในวัยเด็กมักจะเพลิดเพลินไปกับกิจกรรมที่น่ากิ๊วก๊าวในสมัยนั้น หลายอย่างทีเดียว
  1. การจับแมลงปอ สำหรับผมแล้วการจับแมลงปอเป็นกิจกรรมจำพวก most favorite ทีเดียว เวลาเริ่มเข้าหน้าหนาว แมลงปอก็จะพากันออกมาโบยบินในทุ่งหญ้า เด็กๆ ก็จะจัดทำอุปกรณืง่ายๆ สำหรับจับแมลงปอ ประกอบด้วยไม้เหลายาวๆ สัก 2-3 เมตร ถุงพลาสติก และหนังยาง นำถุงพลาสติกผูกเข้าที่ปลายไม้ด้วยหนังยาง เสร็จแล้วก็ดำเนินกิจกรรมได้ แมลงปอหลากสี หลายลาย ทั้งแมลงปอเหลือง แมลงปอแดง แมลงดำ แมลงปอส้ม แมลงปอเขียว แมลงปอเสือ รวมไปถึงแมลงปอเข็ม
  2. การตกปลา ตกปลาเป็นกิจกรรมยามว่างที่ฝึกสมาธิดีสุดๆ เพราะการนั่งรอว่าต้องกระตุกเบ็ดเมื่อปลาตอดเหยื่อ ต้องอาศัยเวลามากพอควร แต่ใครๆ มักบอกว่าผมทำบาปขึ้น เพราะว่าผมมักตกปลาได้เยอะกว่าคนอื่นๆ เสมอ สมัยเด็กผมต้องนั่งเฝ้าปั๊มน้ำมัน ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับคลองส่งน้ำชลประทาน ดังนั้นจึงไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าการตกปลาเป็นกิจกรรมประจำวันทีเดียว สำหรับเบ็ดก็ง่ายมาก ต้องการเพียงไม้คัดเบ็ดซึ่งเหลาทีเดียวใช้ได้ทั้งตกปลาและจับแมลงปอ เส้นเอ็น เบ็ด ตะกั่ว ทุ่น แล้วก็เหยื่อ ดีที่ข้างปั๊มน้ำมันผมทำสวนดอกได้ด้วย ดังนั้น ไม่ยากเลยสำหรับเหยื่อก็ไส้เดือนที่ขุดได้ตัวนึงแบ่งได้ก็เป็นสิบชิ้นแล้ว
  3. การเลี้ยงแมลงทับ การเลี้ยงแมลงทับเป็นกิจกรรมที่อินเทรนด์สุดๆ ในสมัยนั้น เริ่มด้วยต้องเข้าสวนไปหาแมลงทับตัวผู้กับตัวเมียสักคู่นึง เอามาเลี้ยง แต่ไม่อยากเล่าสักเท่าไหร่ เพราะว่าเป็นกิจกรรมที่โหดร้ายมาก เอาไว้ว่างๆ จะเล่ารายละเอียดอีกที
  4. การเล่นว่าว เป็นกิจกรรมของครอบครัว เพราะอาปามักพาพวกเราไปเล่นว่าวที่หาดทรายบริเวณตีนท่า แม่น้ำเจ้าพระยาเสมอๆ ผมมักเล่นว่าวงูกับว่าวจุฬา เพราะว่าอาปามักจัดหาให้แค่สองอย่างนี้
  5. เล่นน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ด้วยเหตุที่บ้านผมอยู่ติดแม่น้ำ ดังนั้นการเล่นน้ำในแม่น้ำจึงเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ทุกวัน กิจกรรมนี้จึงเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ผมโปรดปราน
  6. พายเรือ ทุกปีในหน้าน้ำ ประมาณเดือนกันยายน ถึง พฤศจิกายน ที่ป่าโมกจะน้ำท่วม ดังนั้นทุกบ้านต้องอาศัยเรือในการเดินทางแทนรถ ดังนั้นเด็กทุกคนจะถูกหัดให้พายเรือเป็นตั้งแต่เด็ก ก็คงไม่ต่างกับการสอนให้เด็กขี่รถจักรยานสักเท่าไหร่

กิจกรรมเหล่านี้เป็นกิจกรรมเท่าที่ผมคิดออกในตอนนี้ เป็นความทรงจำดีๆ ในชีวิตผมตั้งแต่เยาว์วัย

Sunday 13 April 2008

Let's take care them

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นประมาณเมื่อปี พ.ศ.2532 ขณะที่ผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่สอง โรงเรียนเทพศิรินทร์ ผมได้มีโอกาสไปงานศพคุณแม่ของอาจารย์ท่านหนึ่งที่ผมเคารพ (ขออนุญาตเอ่ยชื่อ "อาจารย์มาลี")

ณ งานศพวันนั้น อาจารย์บอกกับพวกเราว่า อาจารย์ทำใจเรื่องคุณแม่ได้แล้ว ดีใจที่ตลอดระยะเวลาที่ท่านมีชีวิต อาจารย์ได้ดูแลท่านเป็นอย่างดี เต็มกำลังแล้ว

อาจารย์จึงหันมาบอกย้ำกับพวกเราว่า "จะทำอะไรให้พ่อแม่เราก็ต้องรีบทำตั้งแต่ท่านมีชีวิตอยู่ เมื่อท่านจากไปแล้ว ต่อให้ทำบุญ กรวดน้ำ เผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้มากมาย ก็ไม่รู้ว่าท่านจะได้รับ หรือไม่ แต่ทำตอนที่ท่านมีชีวิตนี้ ท่านรับรู้และด้รับอย่างแน่นอน อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไร้ประโยชน์"

ถ้าอาจารย์มาลีได้บังเอิญอ่านพบข้อเขียนนี้ ผมอยากบอกอาจารย์ว่า "ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมไม่เคยปล่อยให้เวลามันผ่านไปโดยไร้ประโยชน์เลยครับ"

Name

เคยถามอาม้า ว่าทำไมถึงตั้งชื่อผมว่ากิตติ อาม้าตอบว่า

"ก็มันมีอยู่ 3 ชื่อ คือ กิตติ กิจจา และกีรติ ก็อยากให้ชื่อกิตติ ก็เลยเลือกกิตติ"

อันที่จริงก็คือว่าผมน่ะเกิดวันจันทร์ ดังนั้นเขาว่ากันว่าชื่อไม่ควรมีสระ ควรมีแต่พยัญชนะล้วนจึงจะดี ไม่เป็นกาลกินี แต่นี่เล่มมีสระอิตั้งสองตัว ถือว่าเป็นกาลกินีเบิ้ลเลย

แต่สำหรับผม ผมคิดว่าตอนอาปา อาม้าเลือกชื่อนี้ให้ผม คงไม่ได้เพราะต้องการให้มีความเป็นกาลกินีกับตัวผม แต่ในทางตรงกันข้ามต้องการที่จะให้ผมเจริญรุ่งเรืองมากกว่า ดังนั้น ผมจึงภูมิใจในชื่อนี้มาก แม้ว่าใครจะหาว่ามันเชย หรือมีกาลกินี แต่สำหรับผมสิ่งนี้ถือเป็นหนึ่งในมงคลชีวิตของผม

Friday 11 April 2008

Furniture polish

การเลือกผู้หญิงที่ดีมาเป็นศรีภรรยานั้น อาม้าสอนไว้หลายอย่าง อย่างหนึ่งก็คือดูที่ลิปสติก หรือรู้จ แต่อีกอย่างให้ดูการบิด"ผ้าขี้ริ้ว" (Furniture Polish)

หลายคนอาจสงสัยกันว่าทำไม

หากท่านเคยเช็ดถูอะไรอยู่บ้าง จะพบได้ว่าการถูโต๊ะ หรือสิ่งของต่างๆ โดยผ้าขี้ริ้วนั้น หากผ้าบิดไม่หมาดมากๆ จะทำให้สิ่งของนั้นๆ เป็นรอย

ดังนั้น"การให้ความสำคัญกับสิ่งเล็กน้อยเหล่านั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เช่นเดียวกันกับการบิดผ้าขี้ริ้วให้หมาดก่อนที่จะเช็ดถู"

Rouge

รู้จ (Rouge) คำๆ นี้ หลายคนที่ความรู้ภาษาฝรั่งเศสอยู่บ้างก็คงรู้ว่าแปลว่าสีแดง แต่สำหรับเด็กต่างจังหวัดแบบผม ผมรู้จักคำคำนี้มาตั้งแต่เด็กในความหมายที่ว่า รู้จก็คือลิปสติก นั่นเอง คงเพราะว่ารู้จมักมีสีแดง จึงมีการเรียกตามสีในภาษาฝรั่งเศส

บางคนอาจสงสัยว่า แล่วรู้จมันเกี่ยวอไรกับผม จะบอกว่าไม่เกี่ยวโดยตรงหรอก แต่เกี่ยวกับคำสอนของอาม้าที่มักสอนว่า

"หากเราจะเลือกผู้หญิงสักคน และจะดูว่าผู้หญิงคนนั้นมีความเป็นกุลสตรีแค่ไหน มีมารยาทและความละเอียดเรียบร้อยให้ดูที่รู้จ หรือลิปสติกที่เธอใช้ หากว่าปลายลิปสติกแหลม ถือว่าผ่าน แต่ถ้าปลายทู่ ไม่เป็นระเบียบ ก็ตกไปตามระเบียบ"

Preparation

เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยตรงกับผม แต่อาม้าเล่าให้ฟังอีกทีหนึ่ง

สมัยก่อนยังไม่มีน้ำประปา การจะมีน้ำไว้อาบนั้นจะต้องไปตักน้ำจากบ่อ มาใส่ตุ่มไว้ที่ห้องน้ำ โดยมีการผลัดกันระหว่างอาม้า กับอาอี๊ (ป้า)

อาม้าเล่าว่า ตอนที่เป็นเวรอี๊ อี๊ก็จะตักจนเกือบเต็มโอ่งเหลือซัก สองถังจะเต็มโอ่ง อี๊ก็จะพอโดยให้เหตุผลว่า เดี๋ยวตักอาบน้ำก็ลดแล้ว ไม่ต้องตักให้เต็มหรอก

แต่พอถึงเวรอาม้า อาม้าจะตักน้ำจนเต็มโอ่ง แล้วยังตักจนเต็มถังมาวางข้างๆ โอ่งอีกหนึ่งถัง เพื่อเวลาอาบแล้วพอน้ำลดลงก็เอาน้ำในถังตักใส่อีกได้ โดยอาม้าบอกว่า

“เวลาทำงานอะไร ต้องทำให้เต็มที่ หรือทำให้เกินไว้ก็ยิ่งดี”

Soul mate

แทบไม่อยากจะเชื่อว่าแนวคิดเรื่อง Soul mate นั้น ไม่จำเป็นเสมอไปว่าต้องเป็นแนวคิดของตะวันตก แต่สำหรับชาวตะวันออกแนวคิดเรื่องนี้ก็มีอยู่เช่นกัน

ผมเขียนไปครั้งหนึ่งแล้วสำหรับเรื่องคู่ครอง แต่ครั้งนี้ก็จะขอกล่าวถึงอีกครั้งหนึ่ง

มีญาติคนหนึ่งของผม บอกในขณะที่ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ว่า หากมีโอกาสให้หาแฟนสักคนเลย ไม่ต้องรอทีหลัง เดี๋ยวเหมือนเขา ปล่อยให้เวลาผ่านไปไม่ยอมหาแฟนตั้งแต่อยู่ในมหาวิทยาลัย จนบัดนี้ยังหาไม่ได้เลย

อาปาได้ยินญาติคนดังกล่าวถามผมเลยบอกว่า

“คนเราน่ะมันมีคู่อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องวิ่งหาความรักหรอก ถ้ามันไม่ใช่ในที่สุดแล้วก็ต้องเลิกกันอยู่ดี แต่เมื่อถึงเวลาคนคนนั้นก็จะวิ่งมาชนเราเอง”

แนวคิดนี้ไม่ต่างไปจากแนวคิดเรื่อง Soul mate เลย ดังคำกล่าวที่ผมเคยลักจำมาจากคนคนหนึ่งว่า ไม่ต้องวิ่งหาความรัก ปล่อยให้ความรักมันวิ่งหาเรา “Don’t find love, let’s love find you”

Food

สำหรับคนเชื้อสายจีนนั้น มีแนวคิดประการหนึ่งในการที่จะให้ความสำคัญกับอาหารการกิน

ชาวจีนมีความคิดว่า การที่จะทำการใดๆ นั้น ร่างกายจะต้องสมบูรณ์ การที่ร่างกายจะสมบูรณ์ดีก็ขึ้นกับอาหารการกินที่ดี

ดังนั้น คนจีนจึงสรรหาแต่ของดีๆ มากินกันในครอบครัว

สำหรับครอบครัวผม อาปา อาม้าจะให้ความสำคัญกับอาหารการกินเช่นกัน อาปา อาม้ามักจะบอกเสมอว่า

“การใช้จ่ายเงินเพื่อกินข้าวนั้นไม่ต้องเสียดาย อยากกินอะไรก็กินไปเถอะ ไม่ต้องเสียดาย เสียเงินกินของดีๆ ดีกว่าเสียเงินเพราะการพนันและยาเสพติด”

Tuesday 8 April 2008

Marriage

เป็นที่แน่นอนว่าการมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์และมีความสุข เป็นความมุ่งหวังของทุกคน ผมก็เช่นกัน แต่ด้วยปัจจัยหลายประการทำให้ ปัจจุบันผมยังอยู่เป็นโสดอยู่เลย

เวลาไปงานปาร์ตี้ครอบครัว ญาติโยมมักถามว่า มีแฟนหรือยัง เมื่อไหร่จะแต่งงาน โอ้ย คำถามเหล่านี้มักถูกถามเป็นประจำ

กระทั่งวันหนึ่งมีญาติผมถาม ผมและอาม้า ว่าแล้วเมื่อไหร่ผมจะแต่งงานซะทีล่ะ อาม้าก็เลยตอบแทนว่า

"ดอกไม้ทุกดอก มันย่อมมีวันที่จะตูมและบานตามธรรมชาติของมัน เหมือนชีวิตคู่นั่นแหละ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องไปเร่งเร้าอะไรมันหรอก เมื่อถึงวันที่มันจะตูมและบานเหมือนดอกไม้ มันก็จะตูมและบานออกมาเอง"

Driving

การหัดขับรถของครอบครัวเรานั้น ล้วนมาจากฝีมือการสอนของอาปาทุกคน ทั้งลูกๆ และคนงานในบ้าน ทุกคนต่างผ่านการฝึกสอนขับรถจากอาปามาแล้วทั้งสิ้น

สำหรับผมก็เช่นกันตั้งแต่รถจักรยาน รถจักรยานยนต์ รถกระบะ รถตู้ รถยนต์ ล้วนแต่ก็มีอาปาเป็นผู้สอนให้ทั้งนั้น

การสอนขับรถยนต์ของอาปานั้น ถ้าเป็นลูกๆ แล้ว อาปาจะสอนแบบ learning by doing คือบอกทฤษฎีเล็กน้อย แล้วก็ให้เราลองขับเลย

สนามหัดขับรถก็คือสนามฟุตบอล โรงเรียนประจำอำเภอนั่นเอง ทั้งเดินหน้า เลี้ยวซ้าย-ขวา ถอยหลัง ทุกคนที่หัดขับรถกับอาปาผ่านสนามฝึกแห่งนี้มาแล้วทั้งนั้น

ผมเองฝึกหัดขับรถยนต์มาตั้งแต่มัธยมศึกษาตอนต้น แต่จะขับเฉพาะที่ป่าโมกเท่านั้น ไม่ได้ขับในกรุงเทพฯ เพราะว่าก่อนที่จะได้ขับรถยนต์ในกรุงเทพฯ นั้น จะต้องมีการฝึกหัดกันก่อน อย่างเฮียเหนือต้องหัดขับรถยนต์ในกรุงเทพฯก่อน โดยอาปาจะเข้ามาหาที่บ้านหัวลำโพง แล้วพาออกไปหัดขับรถต์ในวันอาทิตย์ ซึ่งถนนมักจะว่างเป็นพิเศษ

สำหรับผมเอง ผมเริ่มขับรถยนต์เข้ากรุงเทพฯ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2541 โดยผมไม่เคยที่จะขับรถยนต์ในกรุงเทพฯ มาก่อน แต่แล้ววันนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดี กระทั่งวันนี้ผมยังคงขับรถยนต์ไปทำงาน และเดินทางติดต่อโน่นนี่อยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้เพราะคำสอนเพียงคำสอนในการขับรถของอาปาที่พร่ำสอนผมมาตลอดก็คือ

"การขับรถดี ขับรถเก่ง ไม่มีหรอกมีแต่ขับรถได้ หากวันใดคนขับง่วง ต่อให้ขับดีขับเก่งแค่ไหน อุบัติเหตุก็ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ"