กระดานเรื่องราวนี้ เขียนมาจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวผม ผมหวังว่าอย่างน้อยข้อคิดเล็กๆ เพียงหนึ่งกิ่งก้านความทรงจำ ในเค-เจ เม็มโมรี่นี้ จะมีส่วนสร้างความรู้สึก และย้ำนึกความทรงจำดีๆ ช่วยแผ่กิ้งก้านความคิด ความทรงจำในจิตใจของของทุกคนที่ได้อ่าน หรืออย่างน้อยก็ช่วยสร้างความทรงจำดีๆ ให้แก่ทุกคนได้บ้างเท่านั้น
Thursday, 29 May 2008
My Sister
วันนี้ผมคิดถึงความทรงจำในวัยเด็กอย่างหนึ่ง เลยอยากมาแชร์ให้ฟัง
ผมเป็นน้องชายคนเล็กมีพี่สาวหนึ่งคน พี่ชายหนึ่งคน ตลอดเวลาตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ กับพี่ๆ พี่ๆก็ทำหน้าที่แทนพ่อแม่ของผมเสมอๆ
ตอนเด็ก ที่ผมเข้ามาอยู่กรุงเทพใหม่ ผมไม่รู้จักถนนหนทาง ขึ้นรถเมล์ก็ไม่เป็น แถมยังเด็กเกินไปที่จะไปไหนต่อไหนเพียงลำพัง เพื่อนก็ยังไม่มี เหมือนบ้านนอกเข้ากรุงทีเดียว
การที่จะออกไปทำกิจกรรมภานนอกในวันหยุดก็คือ การออกไปข้างนอกกับพี่ๆ
แต่อย่างที่บอกเวลาที่เราจะไปไหนก็ต้องติดสอยห้อยตามพี่ไปเสมอๆ โดยเฉพาะพี่สาวผม ทุกครั้งที่เจ๊นุ้ยมีธุระ นัดกับเพื่อนๆ เจ้นุ๊ยมักจะหอบเอาผมไปด้วยเสมอๆ เพื่อให้น้องคนนี้ได้ออกไปพบปะผู้คนบ้าง จนผมแทบจะรู้จักเพื่อนๆ ของพี่สาวไปหมดแล้ว
ผมคิดว่าหลายคน หรือแม้กระทั่งพี่สาวผม เพื่อนพี่สาวผม คงคิดอยู่บ้างแหละว่าผมเป็นส่วนเกินหรือเปล่าเวลาที่เราอยู่กับเพื่อนๆ แต่พี่สาวผมยังคงพาผมไปโน่นนี่ด้วยตลอด แทนที่จะออกไปเพียงลำพังแล้วทิ้งให้ผมอยู่บ้านดูหนังไปคนเดียว กลับพาผมไปไปแนะนำสถานที่ใหม่ๆ คนใหม่ๆ ให้รู้จัก โดยไม่เคยแสดงให้เห็นเลยว่าผมเป็นภาระที่เขาต้องคอยดูแล
คิดถึงเรื่องนี้ทีไร ผมภูมิใจในตัวพี่สาวผมคนนี้ทุกที "รักเจ๊นุ้ยนะครับ"
Thursday, 8 May 2008
Congratulations
การพูดแสดงความยินดีนั้น หลายครั้งที่เราอาจต้องแสดงออกตามมารยาทของผู้รับฟังที่ดี ซึ่งผมเคยทำบ่อยๆ และคาดว่าหลายคนก็เคยทำกันบ้างไม่มากก็น้อย
คนที่รับฟังคำแสดงความยินดี หรือคำชมต่างๆ อาจตามมา ถึงแม้รู้ว่าผู้พูด อาจพูดขึ้นมาตามมารยาทก็ตาม แต่ก็ยังอดยิ้มตามไม่ได้
ดังคำกล่าวว่า "การห้ามไม่ให้โกรธเมื่อมีคนว่า ยังง่ายกว่าการห้ามไม่ให้ยิ้มเมื่อมีคนชม"
แต่หากว่าการแสดงความยินดีนั้นแสดงออกมาจากผู้ที่เรารู้เสมอว่าพร้อมที่จะยินดีในความสำเร็จของเราตลอดเวลา เราคงไม่ต้องสงสัยในความหมายภายหลังถ้อยคำเหล่านั้นเลย
ผมเพิ่งทราบผลการคัดเลือกเข้าเรียนปริญญาโทที่ประเทศสวีเดนอย่างเป็นทางการเมื่อไม่เกิน 8 ชั่วโมงที่ผ่านมา ผมไม่รีรอที่จะแจ้งข่าวดีให้แม่ผมทราบเหมือนปกติที่ผมทำทุกครั้ง
ไม่เกินคาดเดาว่าแม่ผมดีใจเช่นกัน แค่คำพูดที่กล่าวเพียงว่า "ยินดีด้วยนะ" แค่เพียงคำเดียว
มันแทนถ้อยคำมากมายที่ยากจะพรรณนาถึงความปรารถนาดีที่แม่ให้.........แค่นี้เพียงพอแล้วครับ
รักอาม้าครับ รักอาปาด้วย
Wednesday, 7 May 2008
Teacher
เหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นตลอด 6 ปีที่ผมอยู่ที่เทพศิรินทร์ บ้างน่าจดจำ บ้างน่าลืม แต่กลับไม่ลืม
แต่ที่ทำให้วันนี้ผมรู้สึกนึกถึงมากที่สุด คงเป็นครูประจำชั้นคนแรกของผม ชั้นม.1/8 "อาจารย์ภิรมย์ วงศ์เหลือง"
จากเด็กต่างจังหวัดที่ต้องการการเอาใจใส่อย่างมากในการปรับตัวเข้ากับคนอื่น
ในความทรงจำของผมอาจารย์ภิรมย์คอยให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดีแก่นักเรียนทุกคนซึ่งรวมถึงผมด้วย
แม้ว่าผมขึ้นมาอยู่ม.2, 3 หรือ ม,ปลายแล้วก็ตาม แต่ผมยังคงแวะเวียนไปพูดคุยกับอาจารย์ตลอดเท่าที่โอกาสอำนวย และให้อาจารย์คอยช่วยเหลือในบางโอกาส
คิดถึงอาจารย์มากนะครับ แม้ว่าวันนี้อาจารย์ไม่ได้อยู่เห็นว่าลูกศิษย์คนนี้ดำเนินชีวิตได้ดีเพียงใดก็ตาม แต่ผมมั่นใจว่าอาจารย์พร้อมที่จะยินดีในความสำเร็จของลูกศิษย์คนนี้เสมอ
1o ปีแล้วนะครับครู..........
หลับให้สบายนะครับ.......................คุณครูของผม
Elememts
ครั้งแรกที่ผมเริ่มคิดว่าหลักธรรมในพระพุทธศาสนา มีอะไรมากกว่าที่ผมรู้มาตั้งแต่เด็กว่าคือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับผมราวๆ เดือน เมษายนถึงพฤษภาคม 2546 ที่วัดญาณเวศกวัน วันนั้นผมมีปัญญาที่สุมอยู่ในใจค่อนข้างมาก เพื่อนผมชวนไปวัดญาณฯ ครั้งแรก วันนั้นที่วัดผมได้นั่งฟังธรรมะบรรยายเรื่อง ปฏิจจสมุปปบาท จากพระอาจารย์ครรชิต คุณวโร
ผมนั่งฟังวันนั้น ผมขอบอกว่าผมไม่รู้เรื่องเลยสักนิดเกี่ยวกับหลักธรรมที่ท่านบรรยาย แต่ผมกลับฉุกคิดจากตัวอย่างง่ายๆ เพียงตัวอย่างเดียว คือ
"ช่างไม้ได้ทำเก้าอี้ไม้ขึ้นมาตัวหนึ่ง คนพากันไปทดลองนั่งแล้วก็ชมช่างไม้ว่าทำเก้าอี้ได้ดี นั่งแล้วมั่นคงแข็งแรง ไม่โยกเยก ดังนี้ จริงๆ แล้วการที่เก้าอี้ตั้งอยู่ได้อย่างมั่นคงแข็งแรงนั้น หาใช่เป็นเพียงเพราะการที่ช่างไม้คำนวณอย่างแม่นยำ ประกอบอย่างถูกต้อง เท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยอื่นประกอบอีก เช่น แรงดึงดูดของโลกที่ดูดเก้าอี้ไว้กับพื้น ไม่ล่องลอยในอากาศ หรือน้ำหนักของคนที่นั่ง"
ใครจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม หลังจากผมฟังตัวอย่างแล้ว ผมจึงคิดได้ว่าปัญหาที่รุมเร้าผมในขณะส่วนใหญ่ไม่ได้ขึ้นกับตัวผม ผมจึงค่อยๆ ขบคิดและปล่อยวางลงไปที่ละน้อย จนกระทั่งปัญหาเหล่านั้นมากระทบจิตใจผมไม่ได้เลยในเวลาต่อมา อย่างที่เขาว่ากันว่า เวลาผงเข้าตาเขี่ยตาตัวเองอย่างไรผงก็ไม่ยอมออกซะที ต้องให้คนอื่นเขี่ยให้
จากเหตุการณ์นี้ผมได้คิดว่า ทุกเรื่องล้วนแต่มีเหตุปัจจัยที่ต่างกันหลายประการ ดังนั้นพึงควรทำเหตุปัจจัยให้ถึงพร้อม เพื่อความสำเร็จของการงานที่ทำ จะเป็นแนวทางที่ไม่ประมาท และทำให้งานนั้นประสบความสำเร็จ
จากวันนั้นทำให้ผมค่อยๆ ศึกษาธรรมะอย่างเข้าใจ มากกว่าท่องจำ กระทั่งได้เข้าบรรพชาที่วัดญาณฯ แห่งนั้นนั่นเอง
Monday, 5 May 2008
Surname
เดิมนั้นผมมีนามสกุลว่า "โอสถเจริญผล" เป็นนามสกุลที่ลุงตั้งขึ้น เพราะเดิมครอบครัวทางพ่อผมทำกิจการร้านขายยา ก็เลยใช้นามสกุลนี้มาเรื่อยๆ
ทำไมถึงอยากเปลี่ยนนามสกุล.... ครอบครัวเราห็นว่าพวกเราน่าจะตั้งนามสกุลใหม่เสียที ให้พ่อเป็นคนตั้งนามสกุลแล้วพวกเราก็เปลี่ยนไปใช้นามสกุลของพ่อ
เหตุที่เปลี่ยนนี้จึงไม่มีเหตุผลใดแอบแฝงหรอกเพียงแค่อยากให้เรามีสกุลของพวกเรากันนั่นเอง
นามสกุลใหม่ใช้เวลากว่าจะได้นานมาก เท่าที่จำได้น่าจะมากกว่า 3-4 ปี เพราะแม่ไม่อยากได้นาสกุลที่ยาวและเขียนยาก
จนกระทั่งพี่ชายผมบวชที่วัดญาณเวศกวัน ก็เลยได้ไอเดียให้พี่ขอนามสกุลใหม่จากท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) หรือพระธรรมปิฎกในขณะนั้น เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2547
ซึ่งท่านก็เมตตาตั้งนามสกุลใหม่ให้เรามากมายหลายนามสกุลทีเดียว เท่าที่อยากกล่าวในที่นี้เพื่อยืนยันถึงความเมตตาของท่าน นามสกุลที่ท่านตั้งให้
- หยั่งญาณทัศน์ (หยั่งรู้หยั่งเห็น ใช้ญาณทัศน์หยั่งดูให้รู้ความจริง)
- ยั่งยืนธรรมสถิต (ดำรงอยู่ในธรรมะอย่างยั่งยืน)
- ยั่งยืนธรรมโศภิต (งามด้วยธรรมอย่างยั่งยืน)
- ยั่งยืนญาณสถิต (ดำรงอยู่ในความรู้อย่างยั่งยืน)
- ชยางคกุล (ตระกูลที่มีคุณสมบัติแห่งชัยชนะ)
- ชยางควัฒน์ (เจริญด้วยคุณสมบัติแห่งชัยชนะ)
- ชยางค์พล (พลังที่มีคุณสมบัติแห่งชัยชนะ)
- ทยางค์พล (พลังที่มีคุณสมบัติแห่งความเมตตาการุณย์)
- ทยางคานนท์ (ยินดีในคุณสมบัติแห่งความเมตตาการุณย์)
- ทยางคสมิทธิ์ (ความสัมฤทธิ์ผลแห่งคุณสมบัติข้อเมตตาการุณย์)
- ปรียังกรณ์, ปริยังกร (ทำให้เป็นที่รัก, ทำให้ชื่นชมรักใคร่พอใจ)
- ปิยังกรภัทร์ (ทั้งน่าชื่นชมรักใคร่ และเจริญ มีโชค)
- สมิทธิวันต์ (มีความสำเร็จ)
- นาทวรินทร์ (มีเสียงบันลือ (อำนาจ) ที่เลิศประเสริฐเป็นใหญ่)
- วรินทวัศ (อำนาจของผู้เลิศประเสริฐยิ่งใหญ่)
เหล่านี้ล้วนเป็นนามสกุลที่ท่านเจ้าคุณตั้งให้
ครอบครัวเราจึงมาลงมติเลือกนามสกุลออกมาแล้วผมก็เอาไปตรวจสอบการซ้ำว้อนว่ามีนามสกุลเหล่านี้ใช้อยู่หรือยัง และในที่สุดก็เลือกก็คือ "ชยางคกุล" (JAYANGAKULA) เป็นนามสกุลใหม่ของครอบครัวเรา เพราะเขียนง่าย ความหมายดี
ผมจึงถือว่าสิ่งนี้เป็นความทรงจำที่ดีความทรงจำหนึ่งในชีวิต และเป็นหนึ่งในมงคลในชีวิตของผมเช่นกันที่ท่านเจ้าคุณได้ตั้งนามสกุลนี้ให้แก่ครอบครัวเรา
Sunday, 4 May 2008
Pay Respect
ตั้งแต่เด็กผมจำได้ว่าผมไม่เคยกราบเท้าพ่อและแม่เลย (ถ้านับข้ามๆ งานวันพ่อวันแม่ที่ทางโรงเรียนจัดขึ้น) บางทีแอบอิจฉาหลายคนที่มีโอกาสเหล่านั้น
ผมเคยคิดหาโอกาสอยู่หลายครั้งมากว่า เราจะถือโอกาสไหนดีหนอที่จะกราบเท้าพ่อและแม่ได้ บางคนอาจไม่ต้องคิดมากเช่นผม แต่อย่างที่เคยบอกครั้งแรกในการทำทุกสิ่งมักต้องคิดมากเสมอแหละ จริงไหม?
จวบจนกว่า 20 ปีผมก็ไม่เคยกราบเท้าพ่อและแม่อย่างเป็นทางการเสียที จนกระทั่งเมื่อปีพ.ศ. 2547 ผมได้เข้าบวชที่อุโบสถ วัดญาณเวศกวัน โดยมีพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) หรือพระธรรมปิฎก (ในขณะนั้น) เป็นพระอุปัจฌายะ
นอกจากการบวชครั้งนี้จะเป็นการบรรพชาครั้งแรกของผมแล้ว ยังถือเป็นโอกาสที่ผมจะได้กราบเท้าผู้มีพระคุณคือ พ่อและแม่อย่างเป็นทางการอีกด้วย
การกราบเท้าพ่อแม่ เป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้จริงๆ นะครับ แต่ผมขอบอกได้เลยว่ามันเป็นมงคลแก่ชีวิตอย่างยิ่ง (จำได้ว่าไม่เพียงแต่ผมเท่านั้นที่น้ำตาไหล แต่พ่อและแม่ผมก็เช่นกัน)
จากนั้นผมก็มีโอกาสอีกครั้งตอนสึกจากเพศบรรพชิต ผมมีโอกาสที่จะกราบเท้าพ่อและแม่อีกครั้ง
จากเหตุการณ์ทั้งสองที่ผมหยิบยกขึ้นมานี้ ทำให้ผมรู้และเข้าใจสิ่งหนึ่งขึ้นมา ก็คือ การแสดงความเคารพนั้นต่อพ่อแม่นั้น ท่านทั้งสองไม่ได้เพียงรับรู้โดยการกระทำทางกายเท่านั้น แต่ท่านจะรับรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในจิตใจของลูกของท่านด้วยเสมอ
อยากให้ทุกคนแสดงความเคารพ ความรัก ความห่วงใยพ่อแม่ของทุกคนมากๆ และบ่อยๆ เท่าที่มีโอกาส
ดังพุทธพจน์ที่ว่า "ปูชา จะ ปูชนียานัง เอตัมมัง คะละมุตตะมัง" "การบูชาคนที่ควรบูชา ถือเป็นมงคลแก่ชีวิตอย่างยิ่ง"
Thursday, 1 May 2008
So Proud
หลายคนที่เคยมีความรู้สึกอย่างผม ลองคิดในทางกลับกันดูนะครับ
- เรื่องพี่พ่อแม่เราเล่าให้คนอื่นฟัง คือเรื่องของใคร ตอบ เรื่องของเรา
- คนที่พ่อแม่เล่าให้ฟัง เป็นคนรู้จักของใคร ตอบ คนรู้จักของพ่อแม่ ที่อาจไม่รู้จักเรา
- พ่อแม่เล่าให้เขาฟังทำไม ตอบ อาจจะเพราะต้องการบอกให้คนอื่นรู้ว่าลูกเขาเก่ง มีความสามารถ หรือประสบความสำเร็จในชีวิตเพียงใด หรือไม่ก็พูดจนให้คนอื่นอิจฉาว่ามีลูกที่ดี ฉลาด เก่ง กว่าคนอื่น
- ทำไมพ่อแม่ถึงได้ต้องเล่าให้เขาฟังด้วย ตอบก็เพราะว่าพ่อแม่เราภูมิใจในตัวเรา
ดังนั้น "ไม่มีเหตุผลที่เราจะไม่พอใจที่พ่อแม่ภูมิใจในตัวลูกคนนี้"
ตัวลูกเสียอีก "เคยสักครั้งไหมที่จะบอกให้คนทั้งหลายรู้ว่าเราภูมิใจในตัวพ่อแม่เรามากหรือน้อยเพียงใด เคยไหมที่จะกล่าวชื่นชมพ่อแม่ให้คนอื่นฟังจนอิจฉาที่มีพ่อแม่เช่นพ่อแม่เรา"
ลองถามตัวเองดูสักครั้ง แล้วนับดูว่ามีบ้างไหม และมีกี่ครั้งที่จำได้
ถ้าเราก็ภูมิใจในตัวท่าน ก็ลองเปรียบกันดู
"พ่อแม่เราภูมิใจในตัวเราตั้งแต่แรกที่รู้ว่าตั้งท้อง
วันที่เราลืมตาดูโลก
วันแรกที่เราพูด
วันแรกที่เราเรียกชื่อพ่อแม่
วันแรกที่เราเริ่มเดิน
วันแรกเราไปโรงเรียน
วันที่เราเรียนจบ
วันที่เราประสบความสำเร็จ
จนปัจจุบัน"
แค่นับวันเวลาแห่งการภาคภูมิใจในกันและกันอย่างน้อยความภาคภูมิใจของพ่อแม่มันก็ยาวนานกว่าเรา
เพราะมันเกิดขึ้นก่อนที่เราจะมองเห็นและจดจำหน้าพ่อแม่ได้ รวมไปถึงเข้าใจในความภาคภูมิใจด้วยซ้ำ
Contact
การสัมผัสเป็นการถ่ายทอดความรู้สึกต่อกันโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยการพูดและการได้ยิน
หลายครอบครัวคงเป็นเหมือนผม คือในครอบครัวเราไม่ค่อยมีการสัมผัสกันมาก ไม่ว่าจะเป็นการกอด หรือการหอม อย่าว่าเลยแม้แต่การบอกรักกันก็เป็นเรื่องยากสำหรับครอบครัวผม
เวลาผ่านไปนานเกินกว่าที่ผมจะกลัวในการแสดงออกถึงความรู้สึกเหล่านั้นอีกต่อไป ผมเริ่มที่จะจับมือพ่อแม่ นอนหนุนตัก กอดแขน ไปถึงการกอดตัว ผมกล้าที่จะยืนกอดต่อหน้าสาธารณะชนโดยไม่จำเป็นต้องอายใคร
เพราะเมื่อคุณกอดแม่ของคุณ สิ่งที่คุณต้องคิดถึงคือความรู้สึกของแม่ที่ได้รับการกอดจากคุณ มากกว่าความรู้สึกของคนอื่นที่เห็นคุณกอดแม่
ดังนั้นตอบได้ไม่ยากเลยว่า แม่ชอบไหมที่เรากอด แล้วก็ตอบได้ไม่ยากอีกเช่นกันว่าชอบ
จึงอาจกล่าวได้ว่า ไม่มีเหตุผลเลยที่ผมจะไม่กอดแม่ทุกครั้งที่ผมต้องการแสดงความรัก ความห่วงใยต่อแม่ผม
หลายคนที่ยังมีโอกาสที่จะกอดคนที่คุณรัก ก็ทำไปเถิดครับ อย่าไปสนใจความรู้สึกของคนอื่น พึงสนใจเฉพาะความรู้สึกของคนที่คุณกอดเขาก็เพียงพอแล้ว
Make a Wish
หลายคนพยายามไปหาพระหาเจ้าเพื่อให้เขาอวยพรให้ชีวิตมีอต่ความสุขโชคลาถไหลมาเทมา................โดยลืมมองกลับไปยังพระที่บ้านของเรา
พ่อแม่งัยครับ คือพระที่ประเสริฐสุดสำหรับลูก ท่านไม่เคยสักนิดที่จะแช่งชักหักกระดูกให้ลูกฉิบหาย หรืออับจนหนทางในชีวิต
ดังนั้นไม่ต้องวิ่งเร่ไปหาพรจากที่ใด ในเมื่อที่บ้านมีตู้ขอพรเอนกประสงค์อยู่แล้ว ก็พ่อแม่อีกนั่นแหละ ขอได้ทั้งพรและเงิน
ดังนั้น สำหรับผมแล้วพรที่ประเสริฐที่สุดก็คือพรจากอาปาอาม้านั่นเอง ทุกครั้งที่ผมต้องเข้าสอบหรือแข่งขันอะไร ผมไม่เคยลืมเลยที่จะโทรศัพท์ไปบอกอาม้าและทุกครั้งอาม้าก็จะอวยพรให้ผมเสมอ ซึ่งผมถือว่าเป็นพรวิเศษที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด
คำพูดไม่มากมายที่เพียงบอกว่า "ขอให้ทำข้อสอบได้ ทำคะแนนให้ได้สูง ชนะทุกๆคนเลย" ดูเป็นคำพูดพื้นๆธรรมดาที่อาจไม่สละสลวยเท่าไร มันอาจดูเป็นคำพูดที่ทุกคนก็พูดออกมาได้เหมือนกัน แต่สำหรับผมความหมายของคำพูดที่อาม้าอวยพรผมนั้นผมไม่ได้รับรู้ด้วยหูเท่านั้น แต่ผมรับรู้ด้วยใจ
บ้านเราไม่ค่อยพูดคำหวานใส่กัน เพียงแค่คำพูดที่ดูธรรมดาประโยคหนึ่งจากบุพการีนั้น มันมีคุณค่าแความหมายมากว่าวาจาที่เปล่ง
แต่ความหมายของมันคือ "วาจาที่เปล่งพูดออกมานั้น คือ พูดอะไร เพื่ออะไร จากใคร และเพื่อใคร"